โรงเรียนชุมชนบ้านวังดิน: ก้าวต่อครั้งใหม่ด้วยวิจัยทั้งโรงเรียน
พิทักษ์
โสตถยาคม
โรงเรียนชุมชนบ้านวังดินเป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาระดับปฐมวัยและประถมศึกษา
ตั้งอยู่หมู่ที่ 14 ตำบลลี้ อำเภอลี้
จังหวัดลำพูน อยู่ห่างจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 เป็นระยะทาง 66 กิโลเมตร
ปีการศึกษา 2555 นี้มีนักเรียน 439 คน มีครูและบุคลากรทางการศึกษา
24 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนคือ นายจรินทร์ ศรีสุวรรณ บริหารจัดการทั้งระดับประถมศึกษา
ณ โรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งมีนักเรียน จำนวน 411 คน และระดับปฐมวัย
ซึ่งใช้สถานที่จัดการเรียนรู้อยู่ที่โรงเรียนบ้านลี้ ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนประชาบาล
ขณะนี้มีนักเรียน จำนวน 28 คน ตั้งแต่เริ่มเข้าร่วมโครงการในปี 2554 มีครูแกนนำ 2 คน ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ครูศุทธินี
พุฒิพิพัฒน์ชูพงศ์ เป็นครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
โดยใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมเป็นวิชานำร่องในการให้นักเรียนใช้กระบวนการวิจัย
และครูศศิธร สุตานันท์ เป็นครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่
5 มีศึกษานิเทศก์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลำพูน เขต 2
คือ ศน.ชุลีกร ใหม่เขียว เป็นพี่เลี้ยงให้การนิเทศช่วยเหลือ
การติดตามการส่งเสริมการใช้กระบวนการวิจัยของโรงเรียนชุมชนบ้านวังดิน
ในวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 มีคณะติดตาม จำนวน 4 คน ประกอบด้วย อ.วิไล แสงเหมือนขวัญ อ.วงเดือน โปธิปัน อ.สมชัย แซ่เจีย และผม
พิทักษ์ โสตถยาคม ได้สร้างความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของการติดตามผลครั้งนี้ให้กับผู้บริหารโรงเรียน
การสังเกตการสอน การสัมภาษณ์นักเรียน ครู และผู้บริหารโรงเรียน
และการประชุมสะท้อนผลการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งมีข้อค้นพบ ดังนี้
1. การสังเกตการสอน
ห้องเรียนชั้น
ป.5
มีนักเรียน จำนวน 15 คน เป็นชาย 7 คน หญิง 8 คน มีคุณครูศศิธร สุตานันท์ เป็นครูผู้สอน
กิจกรรมวันนี้เป็นการนำเสนอโครงงานภาษาไทยรายบุคคล ระยะเวลาที่สังเกตการสอนคือ 10.40-11.25
น. โดยครูให้นักเรียนนำโครงงาน (เอกสารรายงานโครงงาน) ที่จะนำเสนอหน้าชั้นขึ้นมา
จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันตั้งเกณฑ์ประเมินการนำเสนอโครงงาน
ครูชี้แนะว่าอาจจะมีเกณฑ์การนำเสนอและรูปเล่ม
แล้วให้นักเรียนแสนอว่าจะประเมินอะไรบ้าง นักเรียนเสนอประเด็นที่จะประเมิน ได้แก่
ความตั้งใจในการทำงาน, ข้อมูลถูกต้อง, ชิ้นงานสะอาดเรียบร้อย,
ข้อมูลครบถ้วนตามหัวข้อ, สรุปได้ใจความ ครูถามว่ายังมีอะไรเพิ่มเติมอีก แล้วช่วยตะล่อมประเด็นซ้ำซ้อน
เช่น “ข้อมูลถูกต้องครบถ้วนตรงตามหัวข้อ” จากนั้นสอบถามนักเรียนว่า
เราจะดูจากอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่าระดับ 4-3-2-1 เป็นอย่างไร
เช่น การพูดนำเสนอ ระดับ 4 เป็นพูดชัดเจน ถูกอักขระ
ไม่เขินอาย ระดับ 3 พูดติดๆ ขัดๆ ระดับ 2 พูดแบบขอไปที และระดับ 1 พูดไม่รู้เรื่องเลย จากนั้น
ครูให้นักเรียนทุกคนจดเกณฑ์การใช้คะแนนนี้ไว้เพื่อใช้ในการประเมินการนำเสนอโครงงานของเพื่อนๆ
สรุปมี 4 ประเด็น ประเด็นละ 4 คะแนน
รวม 16 คะแนน
ครูให้นักเรียนออกมานำเสนอทั้งสิ้น
4
คน แต่ละคนนำเสนอโครงงานตามลำดับดังนี้คือ (1)
การเขียนเรื่องจากภาพพาเพลิน (2) โครงสี่ที่ต้องการ (3)
สะกดถูกอ่านได้ใจความ และ(4) สำนวนสุภาษิตคิดสนุก
โดยนักเรียนแต่ละคนออกไปหน้าชั้นตามการเรียกชื่อของครู
และอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในเอกสารรายงานให้เพื่อนฟัง โดยเฉพาะ 1-2 หน้าแรกของรายงานโครงการ ซึ่งอ่านตามหัวข้อดังนี้ คือ ชื่อโครงงาน
ที่มาและความสำคัญ วัตถุประสงค์ ขอบเขต วิธีการศึกษา ผลการศึกษา
การนำไปใช้ประโยชน์ และเอกสารอ้างอิง จากนั้น นำเสนอผลงานที่ได้จากการทำโครงงาน
เช่น การเขียนเรื่องจากภาพพาเพลิน ก็นำเสนอผลงานครั้งละหน้ากระดาษ
แต่ละหน้ากระดาษประกอบด้วยภาพ 1 ภาพ
ชื่อภาพและเนื้อหาสาระอธิบายภาพนั้นๆ และในช่วงท้ายของกิจกรรมการเรียนรู้วันนี้
คุณครูเขียนตาราง 5 คอลัมน์ลงในกระดาษ ฉายขึ้นจอ (คุณครูใช้ Visualizer)
คอลัมน์แรกเป็นชื่อกรรมการ ถัดไปเป็นชื่อนักเรียนคนที่ 1-4 ที่นำเสนอวันนี้ เพื่อให้นักเรียนทุกคนในชั้นร่วมประเมินเพื่อน
และครูจะประเมินสรุปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครูบอกว่า หากใครมีผลการประเมินดีจะได้รับรางวัลเป็นหนังสือ
5 สหายพจญภัย
2.
ผลการพูดคุยกับผู้บริหารและครู ผู้บริหารโรงเรียนเห็นประโยชน์ของการดำเนินโครงการ
ได้สะท้อนภาพการเริ่มต้นโครงการในระยะแรกว่า
ครูมีปัญหาการกระตุ้นให้เรียนตั้งคำถามและการดำเนินงาน
จึงหารือกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและเชิญวิทยากรมาสร้างความเข้าใจให้ครูทั้งโรงเรียน
และได้รับการนิเทศช่วยเหลือครูจากศึกษานิเทศก์อย่างใกล้ชิด ผลที่พบเห็นในปีแรกคือ ผลดีที่เกิดกับนักเรียนชั้น
ป.1 ห้องของครูแกนนำ ปีที่ 2
จึงขยายสู่ครู 6 คน และปีที่ 3 มีแผนที่จะขยายสู่ครูทุกคน โดยกำหนดให้ครูแกนนำทำอย่างน้อย 1 กลุ่มสาระ ครูเครือข่ายที่เริ่มในปีที่ 2 ทำ 1
หน่วย และครูแนวร่วมที่จะเข้าร่วมปีที่ 3 จะให้ทำอย่างน้อย
1 แผน ผลที่เกิดกับครูแกนนำที่ผู้บริหารโรงเรียนสังเกตได้คือ
ครูมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กเรียนรู้ได้เอง
ส่วนครูสะท้อนว่า ตรงกับธรรมชาติการสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นให้นักเรียนค้นหาคำตอบ
แต่ก็ไม่ง่ายที่จะตะล่อมเด็ก และกระบวนการวิจัยจำเป็นต้องใช้เวลาให้เด็กได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
จากความไม่เข้าใจในแนวทางการพัฒนา ความซับซ้อนที่ได้รับถ่ายทอดที่ผ่านๆ มา
และผลดีที่เกิดจากการทดลองปฏิบัติของครูในโรงเรียน ทำให้ครูและผู้บริหารเห็นว่า
จะลดความซับซ้อนของการปฏิบัติและมุ่งให้นักเรียนใช้กระบวนการวิจัย 4 ขั้นโดยตรง และจะเข้าใจและปฏิบัติได้ง่าย
3. การสะท้อนคิด
ขอนำข้อความที่ได้เขียนลงในสมุดนิเทศมานำเสนอ ดังนี้
“วันนี้ข้าพเจ้านายพิทักษ์ โสตถยาคม นักวิชาการศึกษา
สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สพฐ. พร้อมด้วย อ.วิไล แสงเหมือนขวัญ อ.วงเดือน
โปธิปัน และ อ.สมชัย แซ่เจีย
ได้มาติดตามการใช้กระบวนการวิจัยของนักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านวังดิน สพป.ลำพูน เขต
2
เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานของครู ผู้บริหาร
และร่วมชื่นชมความก้าวหน้าของการพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมที่คณะติดตามได้ดำเนินการในวันนี้คือ
การพูดคุยชี้แจงเป้าหมายเจตนาของการติดตามผลครั้งนี้
ให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบว่า
การมาวันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อดูกระบวนการดำเนินงานของโรงเรียนในฐานะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
ตามการแนะนำของทีมภาค ได้เข้าสังเกตการณ์สอนของครูศศิธร สุตานันท์ ครูสอนภาษาไทย
ชั้น ป.5 มีนักเรียนในชั้นวันนี้ จำนวน 15 คน เพราะตรงกับวันแข่งขันกีฬากลุ่มโรงเรียน
นักเรียนส่วนหนึ่งต้องไปร่วมแข่งกีฬา
ได้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจในการจัดการเรียนรู้ของครู
ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิด-ทำ-นำเสนอในลักษณะโครงงาน นอกจากนั้น
คณะติดตามยังได้สัมภาษณ์ครู ผู้บริหาร และนักเรียน
รวมทั้งได้ประชุมครูแกนนำกลุ่มเครือข่ายแนวร่วม
ได้เห็นถึงความสนใจที่อยากจะพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ
ทุกคนแสดงให้เห็นถึงความพยายาม ซึ่งหากได้มีโอกาสได้พูดคุยทำความเข้าใจร่วมกัน
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันบ่อยๆ คาดหวังได้อย่างยิ่งว่า โรงเรียนชุมชนบ้านวังดิน
จะสามารถมีผลผลิต “ผู้เรียน” ที่มีทักษะการเรียนรู้และคุณลักษณะที่ดี โดดเด่น
เป็นเอกลักษณ์ ขอชื่นชมผู้บริหารโรงเรียน
คณะครูที่ได้ร่วมกันพัฒนาผู้เรียนด้วยความเข้มแข็งตลอดมา และจะร่วมกันสร้างสรรค์บรรยากาศการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ใช้วงจรการวิจัย
4 ขั้นตอนบ่อยๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมการวิจัย
ขอเป็นกำลังใจ...”
.....................................................