ปฏิรูปการเรียนรู้: หนึ่งเป้าหมาย-หลากหลายวิธี
พิทักษ์ โสตถยาคม
จากนโยบาย ๑ ใน ๘
ประการของกระทรวงศึกษาธิการที่ประกาศในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ระบุไว้ว่า “เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา
และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิรูปให้มีความเชื่อมโยงกันทั้งหลักสูตรและการเรียนการสอน
ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง และสอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ เพื่อพัฒนาครู
และการพัฒนาระบบการทดสอบ
การวัดและประเมินผลที่ได้มาตรฐานและเชื่อมโยงกับหลักสูตรและการเรียนการสอน
และการพัฒนาผู้เรียน” ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมเด็ก
เยาวชน
และคนไทยให้มีความพร้อมที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ สังคม
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม หรือโลกของศตวรรษที่ ๒๑ มิใช่เพียง “เรียนรู้เพื่อตั้งรับ” เท่านั้น ยังต้อง “เรียนรู้เพื่อเท่าทันและเป็นผู้นำ” ให้ได้ด้วย
จึงจะทำให้ประเทศชาติอยู่รอดและประชาชนอยู่ดีมีสุข ดังนั้น
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
จึงต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งของกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
ให้เป็นผู้รู้จริง ผ่านการคิดไตร่ตรองและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จนเกิดความรู้ที่คงทนและทักษะความชำนาญ
สภาพปัจจุบัน (What is) ของการจัดการเรียนรู้
จะเห็นว่า สภาพการจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่ในระบบโรงเรียน
นักเรียนจะได้รับความรู้จากการบอกเล่าของครูและจากหนังสือเรียนเป็นหลัก
จุดเน้นของการเรียนการสอนและการวัดผล จึงอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจและความสามารถในการจดจำเนื้อหาสาระที่ครูสอนให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น
การเรียนรู้ลักษณะนี้จึงถูกจำกัดไว้เพียงความรู้ในหนังสือเรียนและความรู้ของครูผู้สอน
การสอนจึงมีความหมายหลักอยู่ที่การถ่ายทอดความรู้จากครูสู่นักเรียน วิธีการบรรยายให้ความรู้เป็นวิธีสอนยอดนิยมของครู
แต่ข้อมูลจากงานวิจัยและปิรามิดของการเรียนรู้จะเห็นว่า
วิธีการนี้ก่อให้เกิดความรู้ที่ฝังแน่นคงทนน้อยมาก ข้อมูลเชิงประจักษ์นี้
จึงเป็นที่มาของ “สอนมาก รู้น้อย” นั่นแสดงว่า
ความรู้ที่จำกัดจากหนังสือตำราและครูถ่ายทอดด้วยวิธีการที่ไม่มีประสิทธิผล
ทำให้นักเรียนเรียนรู้อยู่ในวงจำกัด รู้เพียงผิวเผิน
เมื่อจำเป็นต้องนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตปัจจุบัน ทั้งการเรียนและการทำงาน
รวมทั้งเมื่อนักเรียนต้องเข้ารับการทดสอบความสามารถระดับชาติและนานาชาติ
จึงไม่สามารถดึงความรู้และทักษะที่พึงมีออกมาใช้ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้อง “ปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน” ในโรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ
เพราะนักเรียนจะเติบโตและอยู่รอดอย่างมีความสุขได้ ไม่ใช่อยู่ที่ “ความรู้ในตำรา” แต่เป็น “ความรู้ที่สร้างขึ้นจากการเรียนรู้-การคิด-การปฏิบัติของนักเรียนเอง”
การเรียนรู้ที่ควรจะเป็น (What should be)
ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ ๒๑ นี้ด้วย จะต้องเป็น “การเรียนรู้แท้” นั่นคือ เป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางปัญญา
หรือกระบวนการคิด ในการพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ จำแนก เปรียบเทียบ ประเมินค่า
เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลความรู้เดิมกับข้อมูลความรู้ใหม่ และเป็นการเรียนรู้ที่อยู่บนฐานของความสนใจใคร่รู้ของนักเรียน
โดยใช้สถานการณ์ในชีวิตจริงที่อยู่รอบตัวมาเป็นโจทย์การเรียนรู้
เพื่อฝึกฝนพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เข้มแข็งและเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้
ไม่เพียงเพื่อการเรียนรู้ของตนเอง ยังเป็นประโยชน์ต่อชุมชนด้วย
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ได้ตระหนักในความสำคัญจำเป็นของความรู้และทักษะที่นักเรียนจะต้องมี
จึงกำหนดเป็นเป้าหมายการพัฒนานักเรียนขึ้น
เพื่อให้แต่ละโรงเรียนประกันคุณภาพนักเรียน
โดยระบุไว้ในมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
ตั้งแต่ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒
โดยมีมาตรฐานเกี่ยวกับการแสวงหาความรู้และการคิด จำนวน ๒ ใน ๑๕ มาตรฐาน ดังนี้คือ (๑) มาตรฐานที่ ๓
ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการเรียนรู้
และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และ(๒) มาตรฐานที่ ๔
ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์
ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างมีสติสมเหตุสมผล นั่นแสดงให้เห็นว่า
มาตรฐานที่ประกาศใช้ในปี ๒๕๕๔ และนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในปี ๒๕๕๖
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สำหรับความหลากหลายในวิธีการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุนโยบายข้างต้นนั้น แต่ละโรงเรียนมีอิสระที่จะสามารถเลือกวิธีการ
หรือกระบวนการที่สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และต้นทุนเดิมของโรงเรียน เพื่อใช้เป็นกระบวนการหลักในการพัฒนานักเรียนทั้งโรงเรียน
หรือครูผู้สอนแต่ละคนเอง
ก็สามารถเลือกกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้นักเรียนบรรลุมาตรฐานของกลุ่มสาระการเรียนรู้
และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าวได้อย่างอิสระ ส่วนหน่วยงานต้นสังกัดทั้ง
สพฐ. และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสามารถให้การสนับสนุน ส่งเสริม เสนอแนะวิธีการ
กระบวนการให้ผู้เกี่ยวข้องระดับโรงเรียนนำไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษาได้ด้วย
หากย้อนไปดูอดีตที่ผ่านมา จะเห็นว่า โรงเรียนและครูได้รับถ่ายทอดและเรียนรู้ที่จะใช้กระบวนการ/
นวัตกรรม/ วิธีการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทุกกระบวนการ/
นวัตกรรมล้วนดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งสิ้น
แต่ที่ยังไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ที่พึงประสงค์ต่อนักเรียนนัก ดูเพียงผิวเผินอาจเห็นว่า
ไม่น่ายากเพราะขึ้นอยู่ที่ครูและผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก
แต่เมื่อลองวิเคราะห์และพิจารณาปัจจัยเงื่อนไขหลากหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง
จะเป็นว่ามีปัจจัยเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน
ซึ่งมีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และเชื่อมโยงกันทั้งระบบ
หากสนใจปัจจัยและเงื่อนไขความสำเร็จของการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
โปรดศึกษาเอกสารประกอบการเสวนาในโอกาสครบรอบ ๑ ทศวรรษ สพฐ.ของ รศ.ดร.สุธรรม
วาณิชเสนี (๘ ก.ค. ๒๕๕๖) “เหลียวหลัง แลหน้า
มองหาอนาคต-ปัจจัยและเงื่อนไขความสำเร็จการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
บทเรียนจากอดีตในทศวรรษที่ผ่านมา และความเป็นไปได้สำหรับอนาคต” <<โปรดคลิกที่นี่>>
สุดท้าย ขอเชื่อมโยงนโยบายในปี ๒๕๕๖ ที่เน้น “ให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์
แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง” กับสิ่งที่การศึกษาขั้นพื้นฐานมีต้นทุนเดิมที่ทำอยู่
ซึ่งมีเป้าหมายเจตนาเพื่อให้นักเรียนทำได้ ทำเป็น เช่นจุดเน้นปีนี้ ดังนี้
๑. บันได ๕
ขั้นของการเรียนการสอน เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมดำเนินการในโรงเรียนมาตรฐานสากล
ปี ๒๕๕๕ ของ สพฐ. ขั้นที่ ๑ ตั้งคำถาม/สมมุติฐาน (Hypothesis Formulation) ขั้นที่ ๒ สืบค้นความรู้ (Searching for Information) ขั้นที่ ๓ สรุปองค์ความรู้ (Knowledge Formation) ขั้นที่ ๔ สื่อสารและนำเสนอ (Effective Communication) และขั้นที่ ๕ บริการสังคมและจิตสาธารณะ (Public Service) และเป็นขอบข่ายงานที่ปรากฏอยู่ใน TOR เพื่อการพัฒนาครูโดยใช้ระบบ Coaching
and Mentoring ในปี ๒๕๕๖
ทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ
๒. กระบวนการวิจัย ๔
ขั้นตอน เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมดำเนินการในโรงเรียนโครงการสร้างวัฒนธรรมการวิจัย
ปี ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ขั้นที่ ๑ ตั้งคำถาม ขั้นที่ ๒ เตรียมการค้นหาคำตอบ ขั้นที่ ๓
ดำเนินการค้นหาและตรวจสอบคำตอบ และขั้นที่ ๔ สรุปและนำเสนอผลการค้นหาคำตอบ
๓. โครงงานคุณธรรม หรือ Project-based
Learning (PBL) เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้ดำเนินการในโรงเรียนวิถีพุทธและโรงเรียนทั่วไป
มีการประกวดโครงงานคุณธรรมระดับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย ๖ ขั้นตอน
ได้แก่ ขั้นตอนที่ ๑ การตระหนักรู้และพิจารณาเลือกหัวเรื่องหรือประเด็นปัญหา
ขั้นตอนที่ ๒ การรวบรวมประมวลข้อมูลและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ ๓
การจัดทำร่างโครงงาน ขั้นตอนที่ ๔ การดำเนินการโครงงาน ขั้นตอนที่ ๕
การสรุปประเมินผลและเขียนรายงาน ขั้นตอนที่ ๖ การนำเสนอโครงงาน
รายละเอียดโปรดศึกษาคู่มือโครงงานคุณธรรมเฉลิมพระเกียรติ พุทธชยันตีเฉลิมราช
ปีการศึกษา ๒๕๕๔ <<โปรดคลิกที่นี่>>
๔. Research-based Learning (RBL) เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้โรงเรียนดำเนินการโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) ในโครงการยุววิจัยต่างๆ เช่น ยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
ยุววิจัยยางพารา ยุววิจัยเศรษฐกิจชุมชน
๕.
โครงสร้างทักษะกระบวนการคิด เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้โรงเรียนการคิดนำร่อง จำนวน ๓๕๐ โรงเรียน
ดำเนินการในช่วงวิกฤตผลการคิดวิเคราะห์ในปี ๒๕๕๐-๒๕๕๒
ในโครงการขับเคลื่อนการคิดสู่ห้องเรียน ประกอบด้วยกระบวนการ ๔ ขั้นตอน ได้แก่ (๑)
การรวบรวมและเลือกข้อมูล (Gathering) (๒) การจัดกระทำข้อมูล
(Processing) (๓) การประยุกต์ใช้ความรู้ (Applying) และ(๔) การกำกับตนเอง/ เรียนรู้ได้เอง (Self-regulating) ภายใต้โครงการขับเคลื่อนการคิดสู่ห้องเรียน ยังมีโครงการวิจัยย่อย อาทิ
๕.๑ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะการแก้ปัญหาอนาคต (Future Problem Solving) เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช
และคณะนักวิจัยจากวชิราวุธวิทยาลัย
๕.๒ การวิจัยและพัฒนารูปแบบการขับเคลื่อนการสอนคิดสู่ห้องเรียนแบบสอดแทรกในการจัดการเรียนการสอน โดยบริติช เคานซิล ประเทศไทย
๕.๓ การพัฒนาการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนด้วยวิธีการวิจัยและพัฒนาแผนการสอน (Lesson Study) และวิธีการแบบเปิด (Open Approach) โดยศูนย์วิจัยคณิตศาสตร์ศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์
และคณะ)
๕.๔ การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
(problem-based Learning) เพื่อขับเคลื่อนการคิดสู่ห้องเรียน โดยมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (รองศาสตราจารย์
ดร.อัญชลี ชยานุวัตร และคณะ)
๕.๕ การสังเคราะห์รูปแบบ เทคนิค วิธีการ
กระบวนการ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยศูนย์พัฒนาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (รองศาสตราจารย์ ดร.สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา และคณะ) สนใจศึกษาผลการวิจัยผ่านฐานข้อมูล <<โปรดคลิกที่นี่>>
๕.๖ การพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลการคิดของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยศูนย์ทดสอบและประเมินเพื่อพัฒนาการศึกษาและวิชาชีพ คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์
ดร.ศิริชัย กาญจนวาสี และคณะ) สนใจรายงานการวิจัย <<โปรดคลิกที่นี่>>
จะเห็นได้ว่า ความพยายามพัฒนาคุณภาพนักเรียนมีมาอย่างต่อเนื่อง
มีกรณีที่น่าสนใจของโรงเรียนที่ปฏิบัติได้ดีมีอยู่จำนวนมาก รวมทั้ง
สพฐ.และภาคีเครือข่ายมีกระบวนการ/ นวัตกรรม/
วิธีการที่หลากหลายให้โรงเรียนและครูเลือกไปประยุกต์ใช้พัฒนาผู้เรียน สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่มีอยู่เหล่านี้จะต่อยอดเชื่อมโยงให้กลายเป็นพลังเพื่อขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาได้อย่างไร ทางเลือกหนึ่งคือ
เราจะพิจารณาระบบหลักสูตร การเรียนการสอน และการประเมินผล
ร่วมกับการพิจารณาระบบอื่นๆ ที่เชื่อมโยงส่งผลถึงกัน โดยคิดต่อจากข้อเสนอของ
รศ.ดร.สุธรรม วาณิชเสนี ที่สรุปจากงานวิจัย Thailand K-12 Education
System: Progress and Failure ไว้ว่า “ปัจจัยความสำเร็จของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
๓ ประการ ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ มุมมองการศึกษาเชิงระบบ
นโยบายและกลยุทธ์ที่มาจากการวิเคราะห์ระบบการศึกษา และการบริหารจัดการการดำเนินการ
ที่ดำเนินโดยความร่วมมือของจตุภาคี บนเงื่อนไขของการสร้างความหมายและคุณค่าร่วมกัน
การสร้างความสามารถของระบบการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
การส่งเสริมการเรียนรู้ในการรับผิดชอบและความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ
การพัฒนาความสามารถในการสร้างความรู้ และการให้การสนับสนุนในการดำเนินการ”
----------------------------------
ปฏิรูปการเรียนรู้: หนึ่งเป้าหมาย-หลากหลายวิธี
พิทักษ์ โสตถยาคม
จากนโยบาย ๑ ใน ๘
ประการของกระทรวงศึกษาธิการที่ประกาศในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ระบุไว้ว่า “เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา
และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิรูปให้มีความเชื่อมโยงกันทั้งหลักสูตรและการเรียนการสอน
ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง และสอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ เพื่อพัฒนาครู
และการพัฒนาระบบการทดสอบ
การวัดและประเมินผลที่ได้มาตรฐานและเชื่อมโยงกับหลักสูตรและการเรียนการสอน
และการพัฒนาผู้เรียน” ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมเด็ก
เยาวชน
และคนไทยให้มีความพร้อมที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ สังคม
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม หรือโลกของศตวรรษที่ ๒๑ มิใช่เพียง “เรียนรู้เพื่อตั้งรับ” เท่านั้น ยังต้อง “เรียนรู้เพื่อเท่าทันและเป็นผู้นำ” ให้ได้ด้วย
จึงจะทำให้ประเทศชาติอยู่รอดและประชาชนอยู่ดีมีสุข ดังนั้น
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
จึงต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งของกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
ให้เป็นผู้รู้จริง ผ่านการคิดไตร่ตรองและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จนเกิดความรู้ที่คงทนและทักษะความชำนาญ
สภาพปัจจุบัน (What is) ของการจัดการเรียนรู้
จะเห็นว่า สภาพการจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่ในระบบโรงเรียน
นักเรียนจะได้รับความรู้จากการบอกเล่าของครูและจากหนังสือเรียนเป็นหลัก
จุดเน้นของการเรียนการสอนและการวัดผล จึงอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจและความสามารถในการจดจำเนื้อหาสาระที่ครูสอนให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น
การเรียนรู้ลักษณะนี้จึงถูกจำกัดไว้เพียงความรู้ในหนังสือเรียนและความรู้ของครูผู้สอน
การสอนจึงมีความหมายหลักอยู่ที่การถ่ายทอดความรู้จากครูสู่นักเรียน วิธีการบรรยายให้ความรู้เป็นวิธีสอนยอดนิยมของครู
แต่ข้อมูลจากงานวิจัยและปิรามิดของการเรียนรู้จะเห็นว่า
วิธีการนี้ก่อให้เกิดความรู้ที่ฝังแน่นคงทนน้อยมาก ข้อมูลเชิงประจักษ์นี้
จึงเป็นที่มาของ “สอนมาก รู้น้อย” นั่นแสดงว่า
ความรู้ที่จำกัดจากหนังสือตำราและครูถ่ายทอดด้วยวิธีการที่ไม่มีประสิทธิผล
ทำให้นักเรียนเรียนรู้อยู่ในวงจำกัด รู้เพียงผิวเผิน
เมื่อจำเป็นต้องนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตปัจจุบัน ทั้งการเรียนและการทำงาน
รวมทั้งเมื่อนักเรียนต้องเข้ารับการทดสอบความสามารถระดับชาติและนานาชาติ
จึงไม่สามารถดึงความรู้และทักษะที่พึงมีออกมาใช้ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้อง “ปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน” ในโรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ
เพราะนักเรียนจะเติบโตและอยู่รอดอย่างมีความสุขได้ ไม่ใช่อยู่ที่ “ความรู้ในตำรา” แต่เป็น “ความรู้ที่สร้างขึ้นจากการเรียนรู้-การคิด-การปฏิบัติของนักเรียนเอง”
การเรียนรู้ที่ควรจะเป็น (What should be)
ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ ๒๑ นี้ด้วย จะต้องเป็น “การเรียนรู้แท้” นั่นคือ เป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางปัญญา
หรือกระบวนการคิด ในการพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ จำแนก เปรียบเทียบ ประเมินค่า
เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลความรู้เดิมกับข้อมูลความรู้ใหม่ และเป็นการเรียนรู้ที่อยู่บนฐานของความสนใจใคร่รู้ของนักเรียน
โดยใช้สถานการณ์ในชีวิตจริงที่อยู่รอบตัวมาเป็นโจทย์การเรียนรู้
เพื่อฝึกฝนพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เข้มแข็งและเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้
ไม่เพียงเพื่อการเรียนรู้ของตนเอง ยังเป็นประโยชน์ต่อชุมชนด้วย
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ได้ตระหนักในความสำคัญจำเป็นของความรู้และทักษะที่นักเรียนจะต้องมี
จึงกำหนดเป็นเป้าหมายการพัฒนานักเรียนขึ้น
เพื่อให้แต่ละโรงเรียนประกันคุณภาพนักเรียน
โดยระบุไว้ในมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
ตั้งแต่ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒
โดยมีมาตรฐานเกี่ยวกับการแสวงหาความรู้และการคิด จำนวน ๒ ใน ๑๕ มาตรฐาน ดังนี้คือ (๑) มาตรฐานที่ ๓
ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการเรียนรู้
และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และ(๒) มาตรฐานที่ ๔
ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์
ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างมีสติสมเหตุสมผล นั่นแสดงให้เห็นว่า
มาตรฐานที่ประกาศใช้ในปี ๒๕๕๔ และนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในปี ๒๕๕๖
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สำหรับความหลากหลายในวิธีการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุนโยบายข้างต้นนั้น แต่ละโรงเรียนมีอิสระที่จะสามารถเลือกวิธีการ
หรือกระบวนการที่สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และต้นทุนเดิมของโรงเรียน เพื่อใช้เป็นกระบวนการหลักในการพัฒนานักเรียนทั้งโรงเรียน
หรือครูผู้สอนแต่ละคนเอง
ก็สามารถเลือกกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้นักเรียนบรรลุมาตรฐานของกลุ่มสาระการเรียนรู้
และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าวได้อย่างอิสระ ส่วนหน่วยงานต้นสังกัดทั้ง
สพฐ. และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสามารถให้การสนับสนุน ส่งเสริม เสนอแนะวิธีการ
กระบวนการให้ผู้เกี่ยวข้องระดับโรงเรียนนำไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษาได้ด้วย
หากย้อนไปดูอดีตที่ผ่านมา จะเห็นว่า โรงเรียนและครูได้รับถ่ายทอดและเรียนรู้ที่จะใช้กระบวนการ/
นวัตกรรม/ วิธีการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทุกกระบวนการ/
นวัตกรรมล้วนดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งสิ้น
แต่ที่ยังไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ที่พึงประสงค์ต่อนักเรียนนัก ดูเพียงผิวเผินอาจเห็นว่า
ไม่น่ายากเพราะขึ้นอยู่ที่ครูและผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก
แต่เมื่อลองวิเคราะห์และพิจารณาปัจจัยเงื่อนไขหลากหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง
จะเป็นว่ามีปัจจัยเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน
ซึ่งมีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และเชื่อมโยงกันทั้งระบบ
หากสนใจปัจจัยและเงื่อนไขความสำเร็จของการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
โปรดศึกษาเอกสารประกอบการเสวนาในโอกาสครบรอบ ๑ ทศวรรษ สพฐ.ของ รศ.ดร.สุธรรม
วาณิชเสนี (๘ ก.ค. ๒๕๕๖) “เหลียวหลัง แลหน้า
มองหาอนาคต-ปัจจัยและเงื่อนไขความสำเร็จการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
บทเรียนจากอดีตในทศวรรษที่ผ่านมา และความเป็นไปได้สำหรับอนาคต” <<โปรดคลิกที่นี่>>
สุดท้าย ขอเชื่อมโยงนโยบายในปี ๒๕๕๖ ที่เน้น “ให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์
แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง” กับสิ่งที่การศึกษาขั้นพื้นฐานมีต้นทุนเดิมที่ทำอยู่
ซึ่งมีเป้าหมายเจตนาเพื่อให้นักเรียนทำได้ ทำเป็น เช่นจุดเน้นปีนี้ ดังนี้
๑. บันได ๕
ขั้นของการเรียนการสอน เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมดำเนินการในโรงเรียนมาตรฐานสากล
ปี ๒๕๕๕ ของ สพฐ. ขั้นที่ ๑ ตั้งคำถาม/สมมุติฐาน (Hypothesis Formulation) ขั้นที่ ๒ สืบค้นความรู้ (Searching for Information) ขั้นที่ ๓ สรุปองค์ความรู้ (Knowledge Formation) ขั้นที่ ๔ สื่อสารและนำเสนอ (Effective Communication) และขั้นที่ ๕ บริการสังคมและจิตสาธารณะ (Public Service) และเป็นขอบข่ายงานที่ปรากฏอยู่ใน TOR เพื่อการพัฒนาครูโดยใช้ระบบ Coaching
and Mentoring ในปี ๒๕๕๖
ทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ
๒. กระบวนการวิจัย ๔
ขั้นตอน เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมดำเนินการในโรงเรียนโครงการสร้างวัฒนธรรมการวิจัย
ปี ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ขั้นที่ ๑ ตั้งคำถาม ขั้นที่ ๒ เตรียมการค้นหาคำตอบ ขั้นที่ ๓
ดำเนินการค้นหาและตรวจสอบคำตอบ และขั้นที่ ๔ สรุปและนำเสนอผลการค้นหาคำตอบ
๓. โครงงานคุณธรรม หรือ Project-based
Learning (PBL) เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้ดำเนินการในโรงเรียนวิถีพุทธและโรงเรียนทั่วไป
มีการประกวดโครงงานคุณธรรมระดับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย ๖ ขั้นตอน
ได้แก่ ขั้นตอนที่ ๑ การตระหนักรู้และพิจารณาเลือกหัวเรื่องหรือประเด็นปัญหา
ขั้นตอนที่ ๒ การรวบรวมประมวลข้อมูลและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ ๓
การจัดทำร่างโครงงาน ขั้นตอนที่ ๔ การดำเนินการโครงงาน ขั้นตอนที่ ๕
การสรุปประเมินผลและเขียนรายงาน ขั้นตอนที่ ๖ การนำเสนอโครงงาน
รายละเอียดโปรดศึกษาคู่มือโครงงานคุณธรรมเฉลิมพระเกียรติ พุทธชยันตีเฉลิมราช
ปีการศึกษา ๒๕๕๔ <<โปรดคลิกที่นี่>>
๔. Research-based Learning (RBL) เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้โรงเรียนดำเนินการโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) ในโครงการยุววิจัยต่างๆ เช่น ยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
ยุววิจัยยางพารา ยุววิจัยเศรษฐกิจชุมชน
๕.
โครงสร้างทักษะกระบวนการคิด เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้โรงเรียนการคิดนำร่อง จำนวน ๓๕๐ โรงเรียน
ดำเนินการในช่วงวิกฤตผลการคิดวิเคราะห์ในปี ๒๕๕๐-๒๕๕๒
ในโครงการขับเคลื่อนการคิดสู่ห้องเรียน ประกอบด้วยกระบวนการ ๔ ขั้นตอน ได้แก่ (๑)
การรวบรวมและเลือกข้อมูล (Gathering) (๒) การจัดกระทำข้อมูล
(Processing) (๓) การประยุกต์ใช้ความรู้ (Applying) และ(๔) การกำกับตนเอง/ เรียนรู้ได้เอง (Self-regulating) ภายใต้โครงการขับเคลื่อนการคิดสู่ห้องเรียน ยังมีโครงการวิจัยย่อย อาทิ
๕.๑ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะการแก้ปัญหาอนาคต (Future Problem Solving) เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช
และคณะนักวิจัยจากวชิราวุธวิทยาลัย
๕.๒ การวิจัยและพัฒนารูปแบบการขับเคลื่อนการสอนคิดสู่ห้องเรียนแบบสอดแทรกในการจัดการเรียนการสอน โดยบริติช เคานซิล ประเทศไทย
๕.๓ การพัฒนาการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนด้วยวิธีการวิจัยและพัฒนาแผนการสอน (Lesson Study) และวิธีการแบบเปิด (Open Approach) โดยศูนย์วิจัยคณิตศาสตร์ศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์
และคณะ)
๕.๔ การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
(problem-based Learning) เพื่อขับเคลื่อนการคิดสู่ห้องเรียน โดยมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (รองศาสตราจารย์
ดร.อัญชลี ชยานุวัตร และคณะ)
๕.๕ การสังเคราะห์รูปแบบ เทคนิค วิธีการ
กระบวนการ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยศูนย์พัฒนาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (รองศาสตราจารย์ ดร.สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา และคณะ) สนใจศึกษาผลการวิจัยผ่านฐานข้อมูล <<โปรดคลิกที่นี่>>
๕.๖ การพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลการคิดของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยศูนย์ทดสอบและประเมินเพื่อพัฒนาการศึกษาและวิชาชีพ คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์
ดร.ศิริชัย กาญจนวาสี และคณะ) สนใจรายงานการวิจัย <<โปรดคลิกที่นี่>>
จะเห็นได้ว่า ความพยายามพัฒนาคุณภาพนักเรียนมีมาอย่างต่อเนื่อง
มีกรณีที่น่าสนใจของโรงเรียนที่ปฏิบัติได้ดีมีอยู่จำนวนมาก รวมทั้ง
สพฐ.และภาคีเครือข่ายมีกระบวนการ/ นวัตกรรม/
วิธีการที่หลากหลายให้โรงเรียนและครูเลือกไปประยุกต์ใช้พัฒนาผู้เรียน สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่มีอยู่เหล่านี้จะต่อยอดเชื่อมโยงให้กลายเป็นพลังเพื่อขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาได้อย่างไร ทางเลือกหนึ่งคือ
เราจะพิจารณาระบบหลักสูตร การเรียนการสอน และการประเมินผล
ร่วมกับการพิจารณาระบบอื่นๆ ที่เชื่อมโยงส่งผลถึงกัน โดยคิดต่อจากข้อเสนอของ
รศ.ดร.สุธรรม วาณิชเสนี ที่สรุปจากงานวิจัย Thailand K-12 Education
System: Progress and Failure ไว้ว่า “ปัจจัยความสำเร็จของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
๓ ประการ ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ มุมมองการศึกษาเชิงระบบ
นโยบายและกลยุทธ์ที่มาจากการวิเคราะห์ระบบการศึกษา และการบริหารจัดการการดำเนินการ
ที่ดำเนินโดยความร่วมมือของจตุภาคี บนเงื่อนไขของการสร้างความหมายและคุณค่าร่วมกัน
การสร้างความสามารถของระบบการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
การส่งเสริมการเรียนรู้ในการรับผิดชอบและความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ
การพัฒนาความสามารถในการสร้างความรู้ และการให้การสนับสนุนในการดำเนินการ”
----------------------------------