หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทสรุปสุดท้ายของโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ปีงบประมาณ 2558


โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนเริ่มดำเนินการในเดือนธันวาคม 2557 ด้วยการสร้างความเข้าใจในเป้าหมายและแนวทางดำเนินการกับผู้บริหารโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษา มุ่งหวังให้เป็นการปฏิรูปการศึกษาในระดับปฏิบัติการ เพื่อยกระดับคุณภาพด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะศตวรรษที่ 21 และคุณลักษณะความเป็นพลเมืองไทยที่ดี และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เป็นการมุ่งเน้นที่การปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน ปรับการเรียน เปลี่ยนวิธีพัฒนาครู เป็นการพัฒนาครูด้วยการสร้างระบบการชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) มีมหาวิทยาลัยและมูลนิธิเข้าร่วมเป็นพี่เลี้ยง เน้นให้นำผลจากการปฏิบัติการสอนมาเรียนรู้ร่วมกัน หรือการติดตั้งระบบ AAR (After Action Review) เป็นการปฏิรูปการศึกษาที่ปรับปรุงจากฐานโรงเรียน มีผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้นำทางวิชาการ เอาใจใส่ดูแลการจัดการเรียนการสอนของครูอย่างใกล้ชิด และนำข้อสังเกตที่พบจากห้องเรียน ไปสู่การปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผู้บริหารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้ให้การส่งเสริมสนับสนุนหลัก ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 มีโรงเรียนร่วมดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว จำนวน 300 โรงเรียน ในพื้นที่ 20 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขตพื้นที่ละ 15 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเจาะจงเลือกเพื่อนำร่องยกระดับคุณภาพการเรียนรู้

ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานในเชิงกระบวนการ ได้แก่ การสร้างความเข้าใจในจุดเน้นการดำเนินงาน การวางแผนงาน ตั้งทีมงาน การศึกษาดูงาน การร่วมประชุมสัมมนา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ AAR การประสานร่วมมือกับทีมโค้ชภายนอกด้วยงบประมาณดำเนินการ จำนวน 220,000 – 300,000 บาท/ เขต เพื่อให้ทีมโค้ชภายนอกช่วยสร้างทีมโค้ชภายในเขตและโรงเรียนของแต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา การนิเทศติดตามโดยผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและคณะทำงานของเขต จากการรายงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้สะท้อนให้เห็นว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ลดการสั่งการลง มีการกลั่นกรองงานหรือหลอมรวมงานก่อนให้โรงเรียนปฏิบัติ มีการบูรณาการงบประมาณ มีการปรับเปลี่ยนตารางสอนให้เอื้อต่อเป้าหมายของการพัฒนานักเรียนและกิจกรรมการเรียนการสอน มีการพัฒนาครูที่เน้นให้นำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการสอน จัดครูเก่งสอนชั้นเรียนที่มีความสำคัญ เช่น ชั้น ป.1 ให้ครูเตรียมการก่อนสอน เช่น เขียนแผนการสอนหน้าเดียว ผู้บริหารและครูตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปและทบทวนการทำงาน มองเห็นจุดที่จะต้องพัฒนาและปรับปรุงตนเอง ทีมงานเข้มแข็งมากขึ้นจากการพูดคุยหารือร่วมกันแก้ปัญหา มีกลไกการจัดการผลสัมฤทธิ์  บูรณาการลดชั่วโมงการสอน ติดตั้งระบบ coaching/ AAR และจากการติดตามผลการดำเนินงานโครงการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มีการวางระบบสะท้อนผลหลังการสอน หรือ AAR สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาส่วนใหญ่มีการสนับสนุนด้านวิชาการและการนิเทศ ให้โรงเรียนสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น เห็นถึงความพยายามและความก้าวหน้าที่จะปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการและการจัดการเรียนรู้เพื่อผู้เรียน

มติของคณะกรรมการอำนวยการโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) เป็นประธาน ให้ดำเนินการ 3 ข้อ คือ (1) ให้มีการดำเนินการต่อเนื่องในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ระยะที่ 1 จำนวน 20 เขต โดยให้พัฒนาคุณภาพและคงคุณภาพของโรงเรียน จำนวน 15 โรงเรียนไว้ให้ได้ และให้ขยายโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นตามกำลังและความสามารถของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยเพิ่มโจทย์ของการเตรียมนักเรียนให้พร้อมเผชิญอนาคตด้านการเรียนรู้เพื่อการมีงานทำ มีความพร้อมและมีฝีมือในการประกอบอาชีพ ที่สอดคล้องกับช่วงวัยของนักเรียน  (2) ให้ดำเนินการระยะที่ 2 ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากลุ่มเป้าหมาย จำนวน 40 เขต โดยให้แต่ละเขตเลือกพัฒนาโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ยังไม่ดี เขตละอย่างน้อย 15 โรงเรียน และ (3) ให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยเตรียมการวิจัยถอดบทเรียนเพื่อใช้ประโยชน์ของข้อมูล/ ข้อค้นพบที่ได้มาอย่างเป็นระบบจากเขตพื้นที่และโรงเรียนในโครงการ อาทิ ความรู้ด้านชุดสมรรถนะครู ผู้บริหารโรงเรียน ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ศึกษานิเทศก์ เพื่อนำไปใช้ในการขยายผลเข้าสู่ระบบให้มีผลกระทบในวงกว้างต่อการพัฒนาสมรรถนะใหม่ที่พึงประสงค์ของบุคลากรในโรงเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมถึงระบบการผลิตครูและพัฒนาครูทั่วประเทศต่อไป

สถานการณ์ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ชะลอการอนุมัติดำเนินงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากลุ่มใหม่ จำนวน 40 เขต และกลุ่มเดิม จำนวน 20 เขต มีงบประมาณส่วนที่เหลือ จำนวน 57,034,966 (ห้าสิบเจ็ดล้านสามหมื่นสี่พันเก้าร้อยหกสิบบาทถ้วน) สำนักนโยบายและแผนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ สพฐ.ได้ขอกันเงินส่วนนี้ไปดำเนินการ โดยจัดสรรให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 48 เขต เพื่อส่งเสริมพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและยกระดับคุณภาพการศึกษา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558 จำนวน 50,048,000 บาท (ห้าสิบล้านสี่หมื่นแปดพันบาทถ้วน)

สรุปงบประมาณสุทธิที่ใช้ในการดำเนินงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ตลอดปีงบประมาณ 2558 จำนวน 22,775,534 บาท (ยี่สิบสองล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันห้าร้อยสามสิบสี่บาทถ้วน) จำแนกเป็น งบประมาณที่โอนจัดสรรให้เขตพื้นที่ดำเนินการ จำนวน 21,385,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านสามแสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) คิดเป็นร้อยละ 93.89 และงบประมาณที่ส่วนกลางใช้ดำเนินการ จำนวน 1,390,534 บาท (หนึ่งล้านสามแสนเก้าหมื่นห้าร้อยสามสิบสี่บาทถ้วน) คิดเป็นร้อยละ 6.11

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนมุ่งเน้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนรู้ การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ ทักษะการใช้ชีวิต คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูจะต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง มีการดำเนินการตามระบบการนิเทศภายใน หรือระบบ AAR เพื่อให้ได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะเป็นผู้นำขับเคลื่อนและปรับปรุงระบบดังกล่าว ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ลักษณะครูและผู้เรียน รวมทั้งจุดเน้นของนโยบายการศึกษา โดยเฉพาะนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ) ที่ให้ไว้ครั้งมารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2558 ได้ความสำคัญกับเทคนิคการสอนและการสื่อความหมาย การลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนของครู เพื่อให้ครูมีเวลาทุ่มเทให้กับการสอนนักเรียนอย่างจริงจัง การประเมินเพื่อความก้าวหน้าต้องสอดคล้องกับผลการพัฒนาผู้เรียน ทั้งความรู้ คุณลักษณะ และทักษะชีวิต นอกจากนั้น ในวันที่ 23 กันยายน 2558 รมว.ศธ.ยังได้ให้แนวนโยบายแก่ผู้บริหาร สพฐ. หนึ่งในนโยบายนั้นได้เน้นการพิจารณา/ หากลไกช่วยให้ครูมีเทคนิคการเรียนการสอนที่ดีและน่าสนใจ รวมทั้งให้เน้น AAR (After Action Review) ในการทบทวนการดำเนินงานหลังจากที่ได้ดำเนินการเรื่องต่างๆ ไปแล้ว ดังนั้น จะเห็นว่า แนวนโยบายเอื้อให้โรงเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป ในการปรับการบริหารจัดการ และปรับการเรียนการสอน ในแบบแผนที่ได้ร่วมมือรวมพลัง ริเริ่ม และพยายามพัฒนาต่อเนื่องตลอดมา จนเห็นถึงความก้าวหน้าและแนวโน้มของความสำเร็จ นั่นคือ ความก้าวหน้าด้านความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ และความสุขของผู้เรียน รวมทั้งผู้ร่วมอยู่ในชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูทุกคน
  

-----------------------------------------

รายงานผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรอง กพร. ปีงบประมาณ 2558 ตัวชี้วัด 1.4 (โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน)

รายงานผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
q  รอบ  6 เดือน
q  รอบ  9 เดือน
R  รอบ 12 เดือน
ตัวชี้วัดที่ 1.4  ระดับความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ผู้กำกับดูแลตัวชี้วัด : นายพิธาน พื้นทอง

ผู้จัดเก็บข้อมูล : นางบรรเจอดพร สู่แสนสุข
ผู้จัดเก็บข้อมูล : นางสาวดุจดาว ทิพย์มาตย์
ผู้จัดเก็บข้อมูล : นายพิทักษ์ โสตถยาคม
โทรศัพท์ : 0 2281 1958
โทรศัพท์ :  0 2288 5879
คำอธิบาย :
การพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่ตระหนักในปัญหาการศึกษา ได้ขอความร่วมมือกับหลายภาคส่วนปรับปรุงพัฒนาการศึกษา การจัดการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง อาทิโครงการ Teacher Coaching ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือของ สพฐ.และ สกว. (หรือเครือข่ายครูของ สสค.) โครงการ Area-based Education (ABE) จำนวน 16 จังหวัด ที่มีกลไกการพูดคุยเรื่องการศึกษาในระดับจังหวัด และมีประธานสภาการศึกษาจังหวัดเป็นที่ยอมรับทำหน้าที่ประสานเชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่อยู่แล้ว   โครงการ  Constructionism  ของ สกศ.  โครงการโรงเรียนพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ของมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ โครงการการพัฒนาครูแบบ Browser in Service ใน โครงการวิจัยกระบวนการพัฒนาครูด้วยระบบหนุนนำต่อเนื่อง (Teacher Coaching) จำนวน 9 จังหวัด  เป็นต้น
การแก้ปัญหาที่ผ่านมาบางส่วนได้ผลดี มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่อง บางส่วนอาจยังไม่ตรงประเด็น ปัญหาหลายอย่างยังคงวนเวียนอยู่ ซ้ำไปซ้ำมา คุณภาพนักเรียนไม่พัฒนาเท่าที่ควร เมื่อมีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ก็เป็นข้อมูลที่น่ากังวล ในขณะที่ครู ผู้บริหารโรงเรียนยังคงทำงานหนัก รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินไปกับการจัดการศึกษาจำนวนสูงมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศในโลก การแก้ปัญหาการศึกษาไทยจึงน่าจะต้องเปลี่ยนวิธีการ เปลี่ยนมุมมองในอีกหลายส่วน เปิดพื้นที่การแก้ปัญหาในส่วนที่ยังดำเนินการไม่มาก ไม่จริงจังเข้มข้นเท่าที่ควร
       การปฏิบัติการปฏิรูปการศึกษาในครั้งนี้ จึงต้องมีความแตกต่างจากการปฏิรูปครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้เน้นการบรรลุผลการเรียนของผู้เรียนโดยตรง แต่ครั้งนี้ได้วางจุดเน้นไว้ที่ "การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน"และ"ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21" ตลอดจนการเป็นพลเมืองไทยที่ดี" ของผู้เรียนเป็นหลัก และผลพลอยได้คือเป็นจุดตั้งต้น (Entry Point) ของการหาร่องรอยหลักฐานเพื่อการปรับแก้ กลไก กฎ ระเบียบ ฯลฯ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาครู ผู้บริหารสถานศึกษาตลอดจนกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่จะส่งผลกระทบสูง ต่อคุณภาพผู้เรียน นอกจากความแตกต่างเรื่องจุดเน้นดังกล่าวแล้ว แนวทางการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้จะอิงพื้นที่ (เช่น สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา ท้องถิ่น และพื้นที่จังหวัด) ให้เป็นเป้าหมายสำคัญของปฏิบัติการนั้น เป็น"จุดคานงัดที่ท้าทาย" เหมาะสมและสอดคล้องกับเงื่อนไขของเวลาที่จำกัด เพราะจะทำให้สามารถกำหนดขอบเขตทั้งโดยปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้จริง โดยที่การกำหนด หรือคัดเลือกพื้นที่เป้าหมายที่ชัดเจน เช่น โรงเรียนปฏิรูปการศึกษา เขตพื้นที่ปฏิรูปการศึกษา จังหวัดปฏิรูปการศึกษาฯ ที่มีแนวโน้มแห่งความสำเร็จได้นั้น จะช่วยให้สามารถ กำหนดปัจจัยเอื้อ(Inputs) และตัวแปร (Positive & Negative Factors) ที่มีผลต่อการปฏิรูปฯ ที่จำเป็นต้องจัดสรรและควบคุม ให้เป็นไปเพื่อผลสำเร็จได้อย่างเหมาะสม เช่นกัน
ยังมีตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลต่อผลลัพธ์การปฏิรูปการศึกษาอีก 2-3 ประเด็น กล่าวคือ กลไกและกระบวนการบริหารจัดการ ก็คือบุคลากร ซึ่งในที่นี้หมายถึง ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษา และครู นั่นเอง ส่วนวิธีการบริหารจัดการใน 3 ตำแหน่งนี้ หากได้รับการออกแบบตรงจุดเชื่อมต่อทั้ง 3 ให้เป็นการร่วมมือ ร่วมคิด ร่วมทำ ตั้งแต่ ผอ.เขตพื้นที่กับผอ.โรงเรียน หรือผอ.โรงเรียนกับครูร่วมกันวางแผนปฏิบัติการ ที่ใช้โจทย์จริงในบริบทของโรงเรียนนั้นๆเป็นตัวตั้งเป้าหมาย กำหนดกระบวนการเรียนรู้ และวิธีการวัดและ/หรือประเมินผล  และจุดเชื่อมต่อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือครูกับผู้เรียน ที่จะต้องรับประกันให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และการประเมินผล (Formative Assessment) เพื่อสะท้อนผลการบรรลุเป้าหมายขั้นสุดท้ายอย่างต่อเนื่อง 
สำหรับปัจจัยเสริมเพื่อช่วยเพิ่มเติมประสิทธิภาพการทำงานของกลไกและกระบวนการบริหารจัดการของครูและผู้บริหารสถานศึกษา คือ การติดตั้งระบบติดตามการประเมินการทำงาน (Mentoring) และระบบนิเทศ(Coaching) หรือระบบคู่นิเทศ (Peer Coaching)เพื่อเป็นกลไกการพัฒนา และฝึกอบรมบนงาน (On-the-job Training) ซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นวิธีทำงานร่วมกัน และรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นที่ผู้เรียนร่วมกัน แตกต่างจากวิธีเดิมที่เคยปฏิบัติมา นอกจากนี้ระบบนี้ต้องต่อเชื่อมกับผลการเรียนของผู้เรียนโดยการใช้กระบวนการบันทึกผลและสะท้อนผลของผู้เรียนและผู้สอนโดยตรง (After Action Review AAR)ในระบบการประชุมทีมเป็นประจำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ประกอบด้วย Coach และครู (ทีมระดับชั้น หรือทีมสายวิชา หรืออื่นๆ)  โดยวิธีนี้ ครูและผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ต้องออกไปอบรมนอกโรงเรียน แล้วทิ้งผู้เรียน แต่ต้องเป็นการจัดตารางการทำงานในแต่ละสัปดาห์ให้มีเวลาประชุม AAR นี้ เหมือนเป็นงานประจำที่จำเป็น และช่วยให้มีการเก็บหลักฐานการทำงานที่ผูกโยงกับผลที่เกิดกับผู้เรียน ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นผลงานเพื่อการเลื่อนวิทยฐานะได้ เพราะเท่ากับเป็นการทำงานเชิงวิจัยปฏิบัติการ (Routine to Research R-to-R ) ในชั้นเรียนไปในตัว เหมือนกับการปฏิบัติงานของแพทย์ โดยไม่ต้องไปจัดทำรายงานอื่นต่างหากและอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรและทอดทิ้งนักเรียนเช่นกัน นอกจากนั้นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวที่ยังมีส่วนสำคัญให้ได้ปฏิรูประบบงาน/การจัดการแบบใหม่ด้วย ซึ่งการจัดการแบบใหม่ จะปลดล็อคปัญหาอุปสรรคให้โรงเรียนได้หลายประการด้วยกัน  พร้อมกันนี้จะมีการวิจัยระบบการจัดการใหม่คู่ขนานไปกับกระบวนการพัฒนา เช่น การบริหารจัดการ การสร้างแรงจูงใจ การปรับตารางเวลางานและการสอน หลักสูตร วิธีการใช้ทรัพยากรที่เหมาะสม บทบาทกรรมการสถานศึกษา การคิด Unit Cost ฯลฯ
ข้อมูลผลการดำเนินงาน
ตัวชี้วัด
ผลการดำเนินงาน ปีงบประมาณ พ.ศ.
ร้อยละที่เพิ่มขึ้น       (ร้อยละ)
2556
2557
2558
2557
2558
ตัวชี้วัดที่ 1.4 ระดับความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
-
-
ระดับ 5
-
-

เกณฑ์การให้คะแนน :
ระดับ 1
ระดับ 2
ระดับ 3
ระดับ 4
ระดับ5
ครูให้นักเรียน ได้เรียนรู้ด้วยตนเองแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน  (Problem Based learning /Project Based Learning  ภาคเรียนละ ๒ ครั้ง
ครูให้นักเรียน ได้เรียนรู้ด้วยตนเองแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน  (Problem Based learning /Project Based Learning ภาคเรียนละมากกว่า ๒ ครั้ง
ครูมีทักษะในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการชี้แนะ (Coaching ) การบันทึกผลและสะท้อนผลของผู้เรียน และผู้สอนโดยตรง
ครูมีทักษะในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการชี้แนะ (Coaching ) การบันทึกผลและสะท้อนผลของผู้เรียน และผู้สอนโดยตรง    เพื่อให้นักเรียน ได้เรียนรู้ด้วยตนเองแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน  (Problem Based learning /Project Based Learning  ภาคเรียนละมากกว่า ๒ ครั้ง
ครูมีทักษะในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการชี้แนะ (Coaching ) การบันทึกผลและสะท้อนผลของผู้เรียน และผู้สอนโดยตรง   เพื่อให้นักเรียน ได้เรียนรู้ด้วยตนเองแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน  (Problem Based learning /Project Based Learning ) ภาคเรียนละมากกว่า ๒ ครั้ง และชวนให้นักเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทบทวนหลังการทำกิจกรรม (After Action Review)  โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator)
การคำนวณคะแนนจากผลการดำเนินงาน :
ตัวชี้วัด/ข้อมูลพื้นฐาน
ประกอบตัวชี้วัด
น้ำหนัก
(ร้อยละ)
ผลการดำเนินงาน
ค่าคะแนนที่ได้
ค่าคะแนน        ถ่วงน้ำหนัก
ตัวชี้วัดที่ 1.4 ระดับความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
10
ระดับ 5
5
……..

คำชี้แจงการปฏิบัติงาน/ มาตรการที่ได้ดำเนินการ :
โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนเริ่มดำเนินการในเดือนธันวาคม 2557 ด้วยการสร้างความเข้าใจในเป้าหมายและแนวทางดำเนินการกับผู้บริหารโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษา มุ่งหวังให้เป็นการปฏิรูปการศึกษาในระดับปฏิบัติการ เพื่อยกระดับคุณภาพด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะศตวรรษที่ 21 และคุณลักษณะความเป็นพลเมืองไทยที่ดี และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เป็นการมุ่งเน้นที่การปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน ปรับการเรียน เปลี่ยนวิธีพัฒนาครู เป็นการพัฒนาครูด้วยการสร้างระบบการชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) มีมหาวิทยาลัยและมูลนิธิเข้าร่วมเป็นพี่เลี้ยง เน้นให้นำผลจากการปฏิบัติการสอนมาเรียนรู้ร่วมกัน หรือการติดตั้งระบบ AAR (After Action Review) เป็นการปฏิรูปการศึกษาที่ปรับปรุงจากฐานโรงเรียน มีผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้นำทางวิชาการ เอาใจใส่ดูแลการจัดการเรียนการสอนของครูอย่างใกล้ชิด และนำข้อสังเกตที่พบจากห้องเรียน ไปสู่การปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผู้บริหารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้ให้การส่งเสริมสนับสนุนหลัก ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 มีโรงเรียนร่วมดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว จำนวน 300 โรงเรียน ในพื้นที่ 20 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขตพื้นที่ละ 15 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเจาะจงเลือกเพื่อนำร่องยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ ซึ่งมีมาตรการและกิจกรรมที่ได้ดำเนินการโดยสรุป ดังนี้
1. การประชุมร่วมระหว่างคณะทำงานฝ่ายนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รศ.ประภาภัทร นิยม) ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ) และผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในวันที่ 24 ตุลาคม 2557 ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ดร.กมล รอดคล้าย) เห็นชอบให้ดำเนินงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนและมอบสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษาเป็นฝ่ายเลขานุการโครงการ โดยใช้งบประมาณเพื่อดำเนินงานโครงการจากสำนักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/a47QAm
2. สพฐ.อนุมัติโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน และจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 20 เขต มีเอกสารที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บันทึกเสนอขออนุมัติโครงการ http://goo.gl/Wr78mc สำนักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐานสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานโครงการ จำนวน 79,810,500 บาท http://goo.gl/QxJU5Y และแจ้ง สพท.เรื่องโครงการและจัดสรรงบประมาณ http://goo.gl/LYwcdF
3. จัดสัมมนา Reform Lab และ Coaching Lab กลุ่มผู้นำขับเคลื่อนการดำเนินงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการโรงเรียน เขตละ 20 คน (ผอ.โรงเรียน 15 คน และ ผอ.สพท.และคณะ 5 คน) จำนวน 6 จุดสัมมนา ผลการดำเนินงานคือ ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ระดมความคิดเพื่อทำความเข้าใจในจุดเน้นของการพัฒนาคุณภาพโรงเรียน อาทิ การส่งเสริมให้มีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการปฏิบัติการสอนของครู หรือ การจัด AAR (After-action review) ทุกสัปดาห์ของโรงเรียน การวางแผนงานร่วมกันระหว่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน การระดมความคิดเพื่อสะท้อนอุปสรรคปัญหาของการพัฒนาคุณภาพ เพื่อส่งข้อมูลแนวทางปลดล็อกให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/SSKNLw
4. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามในคำสั่งแนวทางปฏิบัติตามโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน เพื่อส่งเสริมการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษารองรับนโยบายการปฏิรูปการศึกษา เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2557 ดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/jlSwgM
5. การนำเสนอความก้าวหน้า 1 เดือน โดยผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 20 เขต ณ วันที่ 23 มกราคม 2558 http://goo.gl/nLk16p
6. โรงเรียนและเขตจัดทำแผนปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนแบบ Bottom up เสนอมายังส่วนกลางเพื่อพิจารณาสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็น ครั้งที่ 1 ณ วันที่ 11 ก.พ. 2558 ดูรายละเอียดที่  http://goo.gl/Jy8xbr โรงเรียนและเขตปรับแผนปรับปรุงคุณภาพส่งส่วนกลาง ครั้งที่ 2 ณ วันที่ 19 ก.พ. 2558 ดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/Z4y6jk
7. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร่วมประชุมกับคณะทำงานติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับแผนปรับปรุงคุณภาพของโรงเรียน ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/751B1i
8. โรงเรียนและเขตปรับแผนปรับปรุงคุณภาพส่งส่วนกลาง ครั้งที่ 3 ณ วันที่ 23 มีนาคม 2558 ดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/zQlZpd
9. สพฐ.สนับสนุนการพัฒนาระบบ Coaching โดยจัดให้มีทีมโค้ชสนับสนุนการติดตั้ง Coaching System และกระบวนการนิเทศในโรงเรียน ทั้ง 20 เขต ประกอบด้วย สพฐ. เห็นชอบให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลือกทีมโค้ชด้วยตนเอง http://goo.gl/x9tZLw มีผลการเลือกทีมโค้ชของแต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดังนี้ http://goo.gl/VXMZya มีการประชุมทีมโค้ชเพื่อสร้างเครือข่ายองค์กรขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน โดยการสนับสนุนของ สสส. http://goo.gl/8LyAel สพฐ.สนับสนุนงบประมาณให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการของโรงเรียนโดยกระบวนการ Coaching and Mentoring ดังนี้ http://goo.gl/NlqTDS นอกจากนั้น สพฐ. ได้ขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยต้นสังกัดทีมโค้ชสนับสนุนการดำเนินงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ดังนี้ http://goo.gl/4k6Y9o ทีมโค้ชและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร่วมสร้างความเข้าใจบุคลากรกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับการติดตั้ง Coaching System และกระบวนการนิเทศในโรงเรียน ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป อาทิ การดำเนินงานของสถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดูข้อมูลได้ที่ Facebook: http://goo.gl/K8UitW  Website: http://goo.gl/dlSC8f
10. รมว.ศธ.แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน โดยที่ สพฐ.เสนอให้ รมว.ศธ. แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ซึ่งมี รมว.ศธ.เป็นประธาน  http://goo.gl/kOn0YI
11. คณะกรรมการอำนวยการโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนประชุมครั้งที่ 1 วันที่ 16 เมษายน 2558ดูรายละเอียดที่ http://goo.gl/dFn1sb  และ http://goo.gl/EuUTdC
12. คณะกรรมการอำนวยการโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนประชุมครั้งที่ 2 วันศุกร์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุม MOC กระทรวงศึกษาธิการ มีระเบียบวาระการประชุมที่สำคัญ ๒ วาระคือ (๑) รับทราบผลการดำเนินงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ระยะที่ ๑ และ(๒) พิจารณาแนวทางการดำเนินงานโครงการในระยะต่อไป ผลการประชุมดังนี้ http://goo.gl/dFn1sb  และ http://goo.gl/EuUTdC
13. สพฐ.ได้แต่งตั้งคณะทำงานติดตามผลโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ปีงบประมาณ 2558 คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน ดังนี้ https://goo.gl/NLI0xz  
14. สพฐ.อนุมัติการประชุมปฏิบัติการสร้างเครื่องมือและทดลองเก็บข้อมูลภาคสนามของคณะทำงานติดตามผลโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ระหว่างวันที่ 2 - 4 กรกฎาคม 2558 ณ สพป.ระยอง เขต 2 https://goo.gl/PQh1bd ส่งจดหมายแจ้ง สพป.ระยอง เขต 2 ในฐานะพื้นที่การเรียนรู้ของคณะทำงานในช่วงพัฒนาทีมงาน ดังนี้ https://goo.gl/FQ521k  ซึ่งคณะทำงานติดตามผลฯ ประกอบด้วย นักวิจัยในโครงการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งผ่านการฝึกอบรมจาก Dr. Christopher Wheeler มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตท รวมทั้งนักวิชาการศึกษาที่มีศักยภาพสูงของ สพฐ. และข้าราชการที่อยู่ในโครงการผู้นำ สพฐ. สายเลือดใหม่ (OBEC Young Blood Leader) โดยการสนับสนุนของ สพฐ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นอกจากจะได้สารสนเทศของโครงการเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงแล้ว ยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับข้าราชการพลเรือนรุ่นใหม่ของ สพฐ. ในคราวเดียวกัน ซึ่ง สนก.ได้ส่งจดหมายเชิญคณะทำงานที่เป็นบุคลากรในสำนักส่วนกลาง ดังนี้ https://goo.gl/R8EYkA
15. คณะทำงานติดตามผลโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ปีงบประมาณ 2558 ของ สพฐ.ออกติดตามผล ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนในโครงการ จำนวน 2 ครั้ง ครั้งละ 1 - 2 วัน ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6 - 18 กรกฎาคม 2558 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 24 สิงหาคม - 5 กันยายน 2558  ซึ่งได้ส่งจดหมายแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทราบแล้ว ดังนี้ https://goo.gl/0bW9QB
16. การประชุมติดตามผลและเสวนาแนวทางขับเคลื่อนโครงการปฏิรูปการเรียนรู้ ในวันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร ช่วงเช้าเป็นการนำเสนอผลการออกติดตาม และช่วงบ่ายเป็นการเสวนา "จากข้อค้นพบและประสบการณ์เพื่อปรับปรุงงาน Reform Lab" โดยผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อร่วมกันขบคิด-ไตร่ตรองการปฏิบัติที่ผ่านมา ให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อการขับเคลื่อนงานโครงการ ระยะต่อไป ซึ่งข้อมูลผลการติดตามผลการดำเนินงานของคณะทำงานติดตามผล ดังนี้ http://goo.gl/0qb4WD
17. สรุปผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานในเชิงกระบวนการ ได้แก่ การสร้างความเข้าใจในจุดเน้นการดำเนินงาน การวางแผนงาน ตั้งทีมงาน การศึกษาดูงาน การร่วมประชุมสัมมนา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ AAR การประสานร่วมมือกับทีมโค้ชภายนอกด้วยงบประมาณดำเนินการ จำนวน 220,000 – 300,000 บาท/ เขต เพื่อให้ทีมโค้ชภายนอกช่วยสร้างทีมโค้ชภายในเขตและโรงเรียนของแต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา การนิเทศติดตามโดยผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและคณะทำงานของเขต จากการรายงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้สะท้อนให้เห็นว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ลดการสั่งการลง มีการกลั่นกรองงานหรือหลอมรวมงานก่อนให้โรงเรียนปฏิบัติ มีการบูรณาการงบประมาณ มีการปรับเปลี่ยนตารางสอนให้เอื้อต่อเป้าหมายของการพัฒนานักเรียนและกิจกรรมการเรียนการสอน มีการพัฒนาครูที่เน้นให้นำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการสอน จัดครูเก่งสอนชั้นเรียนที่มีความสำคัญ เช่น ชั้น ป.1 ให้ครูเตรียมการก่อนสอน เช่น เขียนแผนการสอนหน้าเดียว ผู้บริหารและครูตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปและทบทวนการทำงาน มองเห็นจุดที่จะต้องพัฒนาและปรับปรุงตนเอง ทีมงานเข้มแข็งมากขึ้นจากการพูดคุยหารือร่วมกันแก้ปัญหา มีกลไกการจัดการผลสัมฤทธิ์  บูรณาการลดชั่วโมงการสอน ติดตั้งระบบ coaching/ AAR และจากการติดตามผลการดำเนินงานโครงการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มีการวางระบบสะท้อนผลหลังการสอน หรือ AAR สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาส่วนใหญ่มีการสนับสนุนด้านวิชาการและการนิเทศ ให้โรงเรียนสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น เห็นถึงความพยายามและความก้าวหน้าที่จะปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการและการจัดการเรียนรู้เพื่อผู้เรียน
ข้อมูลเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2558 สพฐ.ได้ชะลอการอนุมัติดำเนินงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากลุ่มใหม่ จำนวน 40 เขต และกลุ่มเดิม จำนวน 20 เขต จึงมีงบประมาณส่วนที่เหลือ จำนวน 57,034,966 (ห้าสิบเจ็ดล้านสามหมื่นสี่พันเก้าร้อยหกสิบบาทถ้วน) สรุปงบประมาณสุทธิที่ใช้ในการดำเนินงานโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ตลอดปีงบประมาณ 2558 จำนวน 22,775,534 บาท (ยี่สิบสองล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันห้าร้อยสามสิบสี่บาทถ้วน) จำแนกเป็น งบประมาณที่โอนจัดสรรให้เขตพื้นที่ดำเนินการ จำนวน 21,385,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านสามแสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) คิดเป็นร้อยละ 93.89 และงบประมาณที่ส่วนกลางใช้ในการประชุมเตรียมการและสร้างความเข้าใจผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 1,390,534 บาท (หนึ่งล้านสามแสนเก้าหมื่นห้าร้อยสามสิบสี่บาทถ้วน) คิดเป็นร้อยละ 6.11
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนมุ่งเน้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนรู้ การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ ทักษะการใช้ชีวิต คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูจะต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง มีการดำเนินการตามระบบการนิเทศภายใน หรือระบบ AAR เพื่อให้ได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะเป็นผู้นำขับเคลื่อนและปรับปรุงระบบดังกล่าว ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ลักษณะครูและผู้เรียน รวมทั้งจุดเน้นของนโยบายการศึกษา โดยเฉพาะนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ) ที่ให้ไว้ครั้งมารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2558 ได้ความสำคัญกับเทคนิคการสอนและการสื่อความหมาย การลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนของครู เพื่อให้ครูมีเวลาทุ่มเทให้กับการสอนนักเรียนอย่างจริงจัง การประเมินเพื่อความก้าวหน้าต้องสอดคล้องกับผลการพัฒนาผู้เรียน ทั้งความรู้ คุณลักษณะ และทักษะชีวิต นอกจากนั้น ในวันที่ 23 กันยายน 2558 รมว.ศธ.ยังได้ให้แนวนโยบายแก่ผู้บริหาร สพฐ. หนึ่งในนโยบายนั้นได้เน้นการพิจารณา/ หากลไกช่วยให้ครูมีเทคนิคการเรียนการสอนที่ดีและน่าสนใจ รวมทั้งให้เน้น AAR (After Action Review) ในการทบทวนการดำเนินงานหลังจากที่ได้ดำเนินการเรื่องต่างๆ ไปแล้ว ดังนั้น จะเห็นว่า แนวนโยบายเอื้อให้โรงเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป ในการปรับการบริหารจัดการ และปรับการเรียนการสอน ในแบบแผนที่ได้ร่วมมือรวมพลัง ริเริ่ม และพยายามพัฒนาต่อเนื่องตลอดมา จนเห็นถึงความก้าวหน้าและแนวโน้มของความสำเร็จ นั่นคือ ความก้าวหน้าด้านความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ และความสุขของผู้เรียน รวมทั้งผู้ร่วมอยู่ในชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูทุกคน
ปัจจัยสนับสนุนต่อการดำเนินงาน : 
1. นโยบายไฟเขียวและเกื้อหนุน โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนเป็นนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) โดยตรง มีที่ปรึกษา รมว.ศธ. (รศ.ประภาภัทร นิยม) เข้ามาเป็นที่ปรึกษาหลักร่วมดำเนินการ มีผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ) เป็นผู้ให้การสนับสนุนและช่วยชี้แนะ และได้รับความร่วมมือในการดำเนินการอย่างดีจากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ.
2. คิดใหญ่...ทำเล็ก โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนริเริมดำเนินการกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 20 เขต ทำให้การพูดคุยสื่อสาร อภิปราย เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันได้อย่างใกล้ชิด ระหว่างฝ่ายนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และมีความคล่องตัวในการปฏิบัติ ส่วนการดำเนินงานของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเริ่มต้นดำเนินงานและมุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเจาะลึก และสามารถจัดกระทำได้อย่างทั่วถึง ด้วยการนำร่องในโรงเรียน จำนวน 15 โรงเรียนในแต่ละเขต
3.ภาคีเครือข่ายร่วมมือรวมพลังอย่างเข้มแข็ง โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนได้ประสานภาคีเครือข่ายวิชาการจากภายนอกโรงเรียน ให้เข้าร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งและหนุนเสริมการวางระบบการนิเทศภายใน ให้กับโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาในระยะเริ่มต้น โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้พิจารณาเลือกตามความต้องการ ซึ่งมีมหาวิทยาลัย มูลนิธิ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มูลนิธิสดศรี-สฤษวงศ์ มูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา ร่วมทำงานกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนด้วยความเต็มใจ และดำเนินการอย่างเต็มกำลังในทรัพยากรที่มี ส่งผลให้เขตพื้นที่และโรงเรียนได้รับมุมมอง แนวคิด และวิธีปฏิบัติที่ใช้ได้จริงในการปฏิบัติงาน
4.ระบบการพัฒนาบุคลากร ณ สถานศึกษา เรียนรู้จากหน้างานจากการปฏิบัติ และรวมพลังเรียนรู้จากกันและกัน โครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนเน้นย้ำให้มีการปรับเปลี่ยนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ชี้แนะให้มีการติดตั้งระบบ AAR (After Action Review) ให้นำผลจากการปฏิบัติการสอนมาสะท้อนผล เพื่อปรับปรุงพัฒนางานในหน้าที่ครูให้ดียิ่งขึ้น ส่งเสริมให้ผู้บริหารโรงเรียนเป็นผู้นำทางวิชาการ ทำหน้าที่เป็นโค้ชตัวจริงในโรงเรียน และมุ่งเน้นการดำเนินการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยให้ความสำคัญเรียนรู้จากการปฏิบัติของทั้งครูและผู้เรียน
อุปสรรคต่อการดำเนินงาน
1. เวลาเริ่มต้นโครงการปลายภาคเรียน รมว.ศธ.กำหนดเวลาเริ่มต้นโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียนในเดือนมกราคม 2558 ซึ่งเป็นช่วงปลายปีการศึกษา เหลือเวลาจัดการเรียนการสอนจริงประมาณ 2 เดือน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว โรงเรียนต่างๆ เตรียมตัวสอบระดับชาติ หรือ O-NET กิจกรรมงานศิลปหัตถกรรมระดับประเทศ และการเตรียมการวัดประเมินผลการเรียนรวบยอดของการจัดการเรียนการสอนในแต่ละโรงเรียน จะเห็นว่ามีเรื่องสำคัญที่ดึงความสนใจของครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวนมาก จึงทำให้โรงเรียนโฟกัสและมุ่งมั่นปรับเปลี่ยนตามโครงการฯ ไม่ได้ทั้ง 100% และมีเวลาดำเนินการตามจุดเน้นโครงการเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนปิดภาคเรียน นอกจากนั้น การจัดหาและประสานความร่วมมือของทีมโค้ชภายนอกเพื่อร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไม่ทันที่จะดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดผลต่อการปฏิบัติของครู ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 ซึ่งสภาพการดำเนินงานของทีมโค้ชจึงดำเนินการได้ในช่วงใกล้ปิดภาคเรียน
2. การตั้งโจทย์ให้โรงเรียนทำแผนปรับปรุงคุณภาพอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและอาจพลาดจุดเน้นปรับเปลี่ยนเชิงกระบวนการบริหารและการเรียนการสอน เมื่อผ่านจุดเริ่มต้นของโครงการเป็นเวลา ประมาณ 1 เดือน ฝ่ายนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งโจทย์ให้โรงเรียนได้จัดทำแผนปรับปรุงคุณภาพและเสนอของบประมาณจากล่างขึ้นบนแบบไม่จำกัดเพดานงบประมาณ โดยให้คำนึงถึงบริบท ปัญหา และสภาพความเป็นจริงที่จะต้องพัฒนาของนักเรียนและโรงเรียน จัดส่งมายังส่วนกลาง กรณีนี้ทำให้โรงเรียนมุ่งจัดทำแผนให้ทันเวลา และนำเสนอแผนงานโครงการที่เกินความจำเป็นและไม่เหมาะสม มีงบประมาณที่เสนอขอสูงมาก ฝ่ายนโยบายจึงให้โรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษานำแผนไปปรับแก้ 2 ครั้ง ใช้เวลาดำเนินการกว่า 1 เดือน แต่ก็ยังไม่ได้แผนที่พึงประสงค์ สุดท้ายคณะกรรมการอำนวยการโครงการมีมติไม่ให้การสนับสนุนงบประมาณตามที่เสนอขอ โดยให้เน้นการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการเท่านั้น จึงทำให้บุคลากรในโรงเรียนไม่ได้งบประมาณดังที่มุ่งหวังตั้งใจ และอาจส่งผลต่อทัศนคติของครูและบุคลากรของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนต่อโครงการ
ข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินงาน :    
การดำเนินการโครงการควรเริ่มต้นในช่วงต้นปีการศึกษา หรือต้นภาคเรียน เพราะจะทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้เตรียมความพร้อม เตรียมวางแผน และปรับเปลี่ยนแนวคิดมุมมองต่อการดำเนินการล่วงหน้า อีกทั้งยังสามารถใช้ช่วงเวลาปิดภาคเรียนเป็นเวลาของการประชุมสัมมนาเตรียมการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล นอกจากนั้น ในการดำเนินการควรกำหนดเป้าหมายความสำเร็จของการดำเนินการที่จับต้องได้อย่างชัดเจน เกิดความเข้าใจที่ตรงกันของทุกฝ่าย และเมื่อดำเนินการให้มุ่งเป้าไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น โดยละเว้นโจทย์ใหม่ ที่นำเข้ามาเติมระหว่างทาง เพราะจะทำให้ผู้เกี่ยวข้องอาจละเลยไม่ให้ความสนใจไปที่เป้าหมายเดิม แต่กลับมาพะวงกับกิจกรรมที่เข้ามาใหม่ สุดท้าย อาจเป็นการปั่นทอนความมุ่งมั่นตั้งใจ และความฮึกเหิมที่จะบรรลุเป้าหมายเดิมนั้นไป
หลักฐานอ้างอิง :
1. แบบฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
2. เหตุการณ์ประทับใจ (lesson learn)ที่แสดงว่าครูมีทักษะในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการชี้แนะ (Coaching ) การบันทึกผลและสะท้อนผลของผู้เรียน และผู้สอนโดยตรง เพื่อให้นักเรียน ได้เรียนรู้ด้วยตนเองแบบ Problem Based learning/ Project Based Learning