โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา:
พัฒนาทักษะครูและศิษย์ในศตวรรษที่ ๒๑
พิทักษ์ โสตถยาคม
๙ สิงหาคม ๒๕๕๖
ผมได้รับเชิญไปร่วมลงพื้นที่เรียนรู้ “โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา”
ที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ สังกัด อบจ.ศรีสะเกษ ร่วมกับทีมผู้ทรงคุณวุฒิ สกว.
และผู้บริหาร บมจ.ธนาคารกสิกรไทย อาทิ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์
ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์
ผศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์ คุณกฤษดา ล่ำซำ ดร.อดิศวร์ หลายชูไทย
เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ “โครงงานฐานวิจัย” กิจกรรมตลอดวันนี้ประกอบด้วย
ภาคเช้าเป็นการบรรยายสรุปโดย รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์
และการเล่าประสบการณ์การสอนโครงงานของครูไสว อุ่นแก้ว (ชีววิทยา) และคณะ [ครูนลินรัตน์ อินต๊ะพันธ์ (ศิลปะ) ครูธวัชชัย บุญหนัก (ฟิสิกส์)
และครูวิเศษ สินศิริ (คณิตศาสตร์)] เสียงสะท้อนจากนักเรียนและผู้ปกครอง และสังเกตการสอน
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นโครงการพัฒนายุววิจัย/
นักวิจัยระดับมัธยมศึกษา ควบคู่กับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู
ในการจัดการจัดการเรียนรู้ด้วยการวิจัย (research-based learning) ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนโดย สกว.และ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย เป็นระยะเวลา ๖
ปี เริ่มดำเนินการปี ๒๕๕๕ โดยสนับสนุนงบประมาณฝ่ายละ ๔๐ ล้านบาท รวม ๘๐ ล้านบาท มุ่งพัฒนาโรงเรียน
๘๐ โรงเรียน กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ รวม ๑๘ จังหวัด (โรงเรียนละ ๑ ห้องเรียน รวม
๘๐ ห้องเรียน) และสนับสนุนโครงการของนักเรียน ห้องเรียนละ ๑๐ โครงการ รวม ๘๐๐
โครงการ ในการบริหารจัดการโครงการได้ให้มีหน่วยจัดการกลางขึ้น รับผิดชอบโดย
รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ มีการอบรมพัฒนาพี่เลี้ยงที่รับผิดชอบช่วยเหลือโรงเรียน
จำนวน ๘ ศูนย์พี่เลี้ยง ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จำนวน ๓๐ คน มหาวิทยาลัย ๗
แห่งที่เป็นศูนย์พี่เลี้ยง ได้แก่ (๑) มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (๒)
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (๓) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (๔) มหาวิทยาลัยศิลปากร
(๕) มหาวิทยาลัยมหิดล (๖) มหาวิทยาลัยพะเยา (๗) มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ และ(๘)
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ผ่านมามีการอบรมกลุ่มพี่เลี้ยงมาแล้วเป็นระยะเวลา ๖
เดือน มีการประชุมร่วมของกลุ่มพี่เลี้ยงทุกๆ ๓ เดือน
จากการบรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงการทำให้ได้ทราบว่า
การออกแบบโครงการได้ส่งเสริมกระบวนการ Research-based Learning เรียนรู้นอกห้องเรียน เน้นประเด็นหลักเดียวกันแล้วแตกเป็น ๑๐ โครงการ
ในการบูรณาการศาสตร์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้ วิทยาศาสตร์-สังคมศาสตร์/
มนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์/ สังคมศาสตร์-เศรษฐศาสตร์
ทั้งนี้หน่วยจัดการกลางจะสนับสนุนชุดความรู้/ หนังสือที่ช่วยให้เชื่อมโยงชีวิตนักเรียน
ช่วยหนุนเสริมความรู้ ความคิด(system thinking, critical thinking, วิเคราะห์, สังเคราะห์, มีเหตุผล) และการปฏิบัติ
(จิตตปัญญาศึกษา โครงงานบนฐานวิจัย การบูรณาการวิชาและบริบท)
สนับสนุนการพัฒนาครูให้รู้การคิดแบบต่างๆ
และความรู้ความสามารถในการพัฒนาข้อเสนอโครงการ (proposal)
ซึ่งได้ออกแบบกระบวนการทำงานและกำหนดปฏิทินกิจกรรมต่างๆ ไว้ล่วงหน้าตลอดปีการศึกษา
การออกแบบโครงการอยู่บนฐานความเชื่อว่า Research-based Learning (RBL) เป็นกระบวนการทางปัญญา
(ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือสร้างความรู้เท่านั้น) เรียนรู้แบบอิงบริบทจริง
การพัฒนาจะไม่ติดยึดเครื่องมือวิจัยสำเร็จรูป จะส่งเสริมให้ครูคิดเอง
เน้นบูรณาการวิชา ใช้หลักเหตุผลแบบ Deductive มากกว่า Inductive
ครูไสว อุ่นแก้ว
ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้เล่าให้ฟังว่า
กลุ่มเป้าหมายในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา คือ นักเรียนชั้น ม.๒ จำนวน ๒ ห้องเรียน เริ่มดำเนินการในภาคเรียนที่
๑/ ๒๕๕๖ (ผ่านมาประมาณ ๒ เดือน) ทีมครูที่ปรึกษาได้ตกลงกันว่า จะลดการสั่งและสอน
เพิ่มการเอื้ออำนวยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ สร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้นักเรียน จะพยายามควบคุมอารมณ์ให้สงบ
“จะไม่จี๊ด” สร้างความตระหนักให้นักเรียนในการปฏิบัติจนเกิดทักษะและความเข้าใจ ในการเรียนรู้แบบ
RBL เช่น ทำผลิตภัณฑ์จากเตยหนาม
ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างบูรณาการ จากการทำโครงงาน ได้เรียนรู้เป็นทีม
เกิดความสามัคคี รู้สึกสนุกและผ่อนคลาย ครูไสวเห็นว่า
การเรียนรู้เช่นนี้จะทำให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จะเติบโตจาก “ราก”
ที่แข็งแรง เด็กจะได้เรียนรู้จากสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม “โครงงาน” ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีเวทีให้นักเรียนได้นำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น
อย่างรู้คุณค่าและภาคภูมิใจ อาทิ เครื่องล้างไข่ เครื่องคัดแยกมะนาว
เครื่องเย็บแผ่นยาง เครื่องสอยมะนาว อุปกรณ์แกะทุเรียน
เสียงจากผู้ปกครองนักเรียน
ชั้น ม.๕ ที่ลูกเคยได้เรียนรู้โครงงานจากครูไสว ได้สะท้อนความรู้สึกว่า
ดีใจที่ลูกได้เข้าร่วมโครงการ ได้เห็นความอดทน กล้าพูด รู้จักแบ่งเวลา
และมีความรับผิดชอบสูงของลูก แทบไม่อยากเชื่อว่าลูกจะนำเสนอและตอบคำถามได้อย่างชัดเจน
ในระหว่างประกวดโครงงาน สิ่งที่ผู้ปกครองเต็มใจให้การสนับสนุนก็เพราะเห็นว่าลูกได้ความรู้
แม้ว่าลูกจะต้องไปพักค้างที่โรงเรียน หรือกลับบ้านไม่ตรงเวลา หรือต้องตระเวนไปเก็บข้อมูล
ตัวแทนคุณแม่คนนี้บอกว่า “ใครจะว่าอะไรก็ชั่งเขา แม่ลูกเราเข้าใจกันก็เพียงพอแล้ว”
คณะครูที่ร่วมรับผิดชอบการเรียนรู้ของนักเรียน
ชั้น ม.๒ ได้สะท้อนความรู้สึกว่า
รู้สึกท้าทายที่จะได้ฝึกทักษะนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ต้องเร่งฝึกฝนนักเรียน ให้นักเรียนนำความรู้ไปใช้ให้ได้
ได้มาทำหน้าที่ครูที่ปรึกษา ได้ทำหน้าที่ตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ
ทำให้ได้เรียนรู้ไปกับนักเรียนด้วย นอกจากนั้น
ยังได้นำความโดดเด่นของธรรมชาติวิชามาช่วยเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนด้วย เช่น
ศิลปะช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารความคิดออกมาได้ชัดเจนขึ้น
นักเรียนชั้น
ม.๕
กลุ่มหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากครูไสวมาต่อเนื่องได้เล่าถึงสิ่งที่ได้รับการกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้คือ
(๑) การเรียนรู้ที่ต้องลำบากในการค้นคว้าและสรุปความรู้เอง
ทำให้รู้สึกเห็นคุณค่าของความรู้ที่มีอยู่ในหนังสือมากขึ้น (๒) การเรียนรู้แบบโครงงานทำให้ได้ฝึกให้กล้าในการออกไปเก็บข้อมูล
ได้ฝึกพูด และรู้จักจัดการเวลา (๓)
การเรียนรู้เช่นนี้ทำให้แสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาหลากหลายวิธีจนสามารถค้นพบวิธีการที่ดีที่สุด
เช่น หาวิธีทำมีกรีดยางให้ได้หน้ายางสม่ำเสมอ (๔) เรียนรู้โครงงานยางพาราทำให้ได้เรียนรู้การทำอาชีพของพ่อแม่
เช่น ฝึกกรีดยางจนเป็น ก็สามารถช่วยผู้ปกครองได้ และ (๕)
ได้รับประสบการณ์ตรงและฝึกความอดทน
ข้อคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิ
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช:
(๑)
การเรียนรู้เช่นนี้คือ Project-based Learning นักเรียนได้ลงมือทำจริง
ไม่ใช่เรียนแบบผิวเผิน
(๒) มี ๓
อย่างที่ควรทำเพื่อให้การเรียนรู้ลงลึกมากขึ้น ได้แก่ หนึ่ง-ให้เขียน Diary
สะท้อนความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับงานนั้นด้วยตนเอง ถือว่าเป็น Personal
Journal สอง-Present นำเสนอผลของโครงงานหลากหลาย
และสังเคราะห์ความเข้าใจ สาม-ทำ Group Reflection หรือ AAR
เพื่อให้รู้รอบด้าน
(๓)
ในการจัดการเรียนรู้ครูจะต้องตั้งความหวังว่า
จะให้นักเรียนได้รับและเรียนรู้ทฤษฎีใด มีการยกทฤษฎีนั้นๆ
มาให้นักเรียนได้วิเคราะห์วิพากษ์ เพราะชิ้นงานที่นักเรียนจัดทำขึ้นนั้น
ไม่ใช่เครื่องการันตีว่านักเรียนจะได้เรียนรู้ลึก
(๔) เป้าหมายในการจัดการศึกษามี
๕ ด้านคือ ปัญญา อารมณ์ สังคม จิตวิญญาณ และร่างกาย
ซึ่งในการเรียนรู้แต่ละครั้งต้องตรองดูว่า นักเรียนได้ครบถ้วนทุกด้านหรือไม่
(๕)
ครูควรร่วมกันตั้งเป้าหมายและประเมินการเรียนรู้ว่า
สิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้นั้นตรงกับที่ต้องการหรือไม่ ซึ่งวิธีการประเมินควรเอาแนวมาจาก
PISA เป็นการอิงความเข้าใจ ไม่ใช่อิงความรู้ ดังนั้น
ครูควรเลิกสอนความรู้ แต่ควรไปโค้ชให้นำความรู้ไปใช้จริง
(๖)
เรียนแบบโครงงานต้องไม่เป็นภาระเพิ่มขึ้น จะต้องให้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามปกติ
ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่มขึ้น ต้องอยู่ในงานปกติ ไม่ว่าโครงงานใดๆ ก็จะได้ทุกกลุ่มสาระ
เช่น โครงงานทำนา ชั้น ป.๕-๖ ของโรงเรียนรุ่งอรุณ ทำให้นักเรียนได้กลอนดลใจจากงานที่เรียนรู้อย่างงดงาม
ข้อเสนอเพื่อให้เป็นการเรียนรู้ปกติก็คือ Project-based Learning + Journal/Diary & Present & Group Reflection
(๗) ควรใช้ Flipped
Classroom
(๘) สถาบันผลิตครู
ควรนำใช้เปลี่ยนวิธีการผลิตครู ให้ได้ครู 21st century skills ก็คือ ครูที่สอนแบบไม่สอน
ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย: น่าสนใจและน่าชื่นชมในกระบวนการเรียนรู้ ที่เด็กเป็นคนตั้งโจทย์
และเป็นโจทย์จากชีวิตจริง เป็นการสอนโดยใช้คำถาม และให้ทบทวนตนเอง ซึ่งเด็กจะเกิดการเรียนรู้ในทุกขณะของการค้นหาคำตอบ
คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์: ได้เห็นถึงการปรับกระบวนการเรียนรู้ เป็นการวิจัยที่ไม่ขึ้นหิ้ง ข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า
เด็กดีขึ้น ถือเป็นทางออกของการศึกษาไทย เห็นครูไสวแล้วนึกถึงครูเรฟ เอสควิท (Rafe
Esquith) ผู้เขียนหนังสือครูนอกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบ ซึ่งคำสำคัญคือ
สอนน้อยเรียนให้มาก (Teach Less Learn More) ได้เห็นครูมีความมั่นใจ
และหากมีผู้บริหารโรงเรียนช่วยให้การสนับสนุนจะไปได้ดี และควรช่วยขยายให้มีครูเช่นนี้ให้มากขึ้น
สะท้อนคิดจากการได้เรียนรู้: ผมได้รับรู้สิ่งดีอย่างน้อย ๓ ประการ และเห็นถึงความท้าทาย ๑ ประการ
ดังนี้
สิ่งดีที่เห็น
๓ ประการ ได้แก่ (๑) ครูไสว ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของครูที่สังคมมุ่งหวังหลายประการ
อาทิ ครูที่มีความเชื่อมั่น เข้มแข็ง ลึกซึ้งในกระบวนการที่ผ่านการปฏิบัติมาอย่างชำนาญ
มีความใส่ใจและเกาะติดการเรียนรู้ของผู้เรียน
มีความสามารถในการมองเห็นภาพรวมและลงลึกในกระบวนการเรียนรู้ที่คาดหวัง
มีการคิดไตร่ตรอง ทบทวน และปรับวิธีปฏิบัติของตนอยู่เสมอ มีความระมัดระวังไม่ให้การกระทำของตนเองไปปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน
และมีลักษณะของโค้ชที่ดี (๒) คณะครูที่ร่วมทีมในโครงการนี้ทั้ง ๔ คน มีความตั้งมั่นในหลักการที่จะไม่ให้อารมณ์โกรธเข้ามาปะปนในการจัดการเรียนรู้
จะคอยสะกิดเตือนกัน รวมทั้งพยายามนำจุดเด่นของแต่ละคนมาเป็นพลังเสริมทีมครูและสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน
และ(๓) การให้ผู้เรียนมาเข้าค่ายเพื่อเรียนรู้โครงงานนั้น หากตัดประเด็นเรื่องภาระงานที่เพิ่มขึ้น
ก็จะเห็นเชิงเปรียบเทียบกับกีฬา จะพบว่าการเข้าค่ายกีฬาก็เพื่อฝึกฝนทักษะการเล่นเพื่อให้ชนะในเกม
ส่วนการเข้าค่ายโครงงานก็เป็นการฝึกฝนกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ชนะตนเองและเตรียมทักษะไปใช้ในชีวิตจริง
สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นความท้าทาย
๑ ประการ ของโครงการลักษณะนำร่องเช่นนี้ก็คือ
การขยายวิธีปฏิบัติแบบครูไสวให้กระจายและฝังอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูทั้งโรงเรียน
โดยเริ่มต้นจากโรงเรียนที่มีครูแกนนำ ครูต้นแบบ ก่อนที่จะขยายไปสู่โรงเรียนอื่นๆ หรือพื้นที่อื่นๆ
ดังที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้เปรียบเทียบโครงการพัฒนาครูเช่นนี้เป็น “น้ำยาอุทัยทิพย์”
ที่จะค่อยๆ เหยาะให้สีของน้ำ (ครูทั่วไปอีก ๕ แสนคน) ให้เปลี่ยนวิธีสอนในลักษณะนี้
ดังนั้น ผลกระทบของโครงการจะต้องพิจารณาว่า สีของน้ำยาอุทัยทิพย์ไปสร้างสีสันให้กับครูอื่นเพียงใด
และตัวชี้ความสำเร็จ
ก็ควรเห็นได้จากน้ำที่อยู่ในตุ่มเดียวกันนี้ (ครูในโรงเรียนเดียวกัน)
ก็ควรเรียนรู้และปรับเปลี่ยนก่อน เพราะอยู่ใกล้ได้สัมผัสโดยตรง สำหรับโรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์นี้มีหลายปัจจัยเอื้อต่อความสำเร็จหลายประการ
อาทิ มีนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมพัฒนาใกล้ชิด มีครูไสวที่ทำเป็นแบบอย่าง
โรงเรียนสังกัด
อบจ.ศรีสะเกษที่น่าจะมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
-----------------------------------------