พิทักษ์ โสตถยาคม และสมชัย แซ่เจีย
ค่านิยมหลักของคนไทย 12
ประการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ประกาศเป็นเป้าหมายการพัฒนาคน (รัฐบาลไทย: ออนไลน์) เป็นคุณลักษณะที่จะมุ่งเน้นและส่งเสริมให้คนไทยยึดถือในวิถีชีวิต
การประกาศอย่างชัดเจนเช่นนี้ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนากำลังคนของชาติได้มีโอกาสทบทวนไตร่ตรองว่าค่านิยม
ทั้ง 12 ประการ มีความสำคัญจำเป็นต่อการสร้างสรรค์สังคมไทยให้เข้มแข็งมากน้อยเพียงใด
ได้สะท้อนคิดต่อประสิทธิผลของวิธีการพัฒนาที่ผ่านมา
และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิธีปฏิบัติให้ก่อเกิดผลที่จริงแท้และยั่งยืน หากผู้เกี่ยวข้องเห็นพ้องต้องกันก็จะเกิดพลังร่วมของการพัฒนาเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและโรงเรียนในสังกัดเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการหล่อหลอมพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นคนดีมีความสามารถ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(2557:
ออนไลน์) ได้จัดทำแนวปฏิบัติเกี่ยวกับค่านิยมหลัก 12
ประการสู่การปฏิบัติ และสื่อสารหลายวิธีให้ถึงเด็ก ครู และผู้ปกครอง
เพื่อชี้ให้เห็นว่าค่านิยมหลัก 12
ประการเป็นเรื่องสำคัญที่ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนไทย
ครอบคลุมสอดคล้องกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 ที่ผู้เกี่ยวข้องพยายามดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวปฏิบัติดังกล่าวนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในการตัดสินใจเลือกค่านิยมให้เหมาะสมต่อการจัดการเรียนรู้แต่ละระดับชั้น
สำหรับบทความนี้จะนำเสนออีกทางเลือกหนึ่งของการนำค่านิยมหลักไปสู่ห้องเรียน
เป็นการเลือกค่านิยมที่สำคัญบางข้อมาทำให้เห็นผล และใช้เรื่องเล็กๆ ที่เราเคยมองข้ามมาให้นักเรียนได้เรียนรู้และฝึกกระบวนการทางปัญญา
จุดเริ่มต้นของทางเลือกนี้เกิดขึ้นจากคำถามจุดประกายความคิดของ
ดร.สุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ว่า “ถ้าทำเรื่องค่านิยมหลักให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจะทำข้อใดที่สำคัญที่สุด
อย่างไร” จึงได้นำค่านิยมทั้งหมดมาพินิจพิจารณา พบว่า มีข้อหนึ่งที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดผลข้ออื่นๆ
ตามมา ข้อนั้นคือข้อ 9 “มีสติรู้ตัว
รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งข้อนี้มุ่งเน้นให้นักเรียน “คิดเป็น” หรือส่งเสริมความสามารถในการคิด คาดการณ์ และควบคุมตนเองให้ปฏิบัติตนเหมาะสมกับกาลเทศะ
ซึ่งสอดคล้องกับดวงเดือน พันธุมนาวิน, โกศล มีคุณ, และงามตา วนินทานนท์ (2556: 35) ระบุว่า มีผลงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า
จิตลักษณะเช่นนี้เป็นจิตลักษณะสำคัญที่สุดในคนที่มีพฤติกรรมของคนดีและคนเก่ง
และสำคัญต่อพฤติกรรมแทบทุกประเภทของบุคคล
ขอยกพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเกี่ยวกับการมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิด
ที่ได้พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ. 2552 แก่ประชาชนชาวไทย เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม
พ.ศ.2551 ความว่า
“ความสุขความเจริญนี้
เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรา แต่ความสุขความเจริญนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้
ก็ด้วยการที่ทุกคนตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
มีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ไม่ว่าจะประพฤติปฏิบัติการใด
ก็ใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองจนถ้วนถี่ ให้เห็นกระจ่างถึงผลดี ผลเสีย ทั้งใกล้ไกล
ทุกแง่ทุกมุม ความรู้ความเข้าใจชัดถึงผลดีผลเสีย
ย่อมจะทำให้แต่ละคนเล็งเห็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องว่าสิ่งใดควรละเว้น
และสิ่งใดควรปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผล เป็นประโยชน์ที่แท้จริงและยั่งยืน
ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม” (Royal
Thai Embassy, Singapore: ออนไลน์)
เมื่ออ่านอย่างวิเคราะห์พระบรมราโชวาทองค์นี้แล้ว
ยิ่งเห็นชัดเจนถึงความสำคัญจำเป็นและคุณค่าที่แท้จริงของคนที่มีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษาจึงควรน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติ
และปลูกฝังให้ปรากฏชัดกับนักเรียนตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเริ่มฝึกสังเกต
และพิจารณาเหตุและผลของการกระทำจากประเด็นเล็กๆ ใกล้ตัว และสร้างการเรียนรู้ให้กับนักเรียนจากสถานการณ์ต่างๆ
ที่พบเจอในกิจวัตรประจำวัน
แผนภาพ
ค่านิยมข้อ 9
ส่งผลต่อค่านิยมข้ออื่น
การฝึกให้นักเรียนใช้สติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอย่างยั่งยืนนั้น
จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนเสียใหม่
จากวัฒนธรรมเชิงอำนาจและวัฒนธรรมการเลียนแบบ
มาเป็นวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่เคารพในความเป็นมนุษย์ ดังนั้น ครูจะเปลี่ยนจากการดุด่าเฆี่ยนตี
หรือพร่ำสั่งสอนนักเรียนอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องทำอะไรอย่างไร หรือห้ามทำอะไรอย่างไร เปลี่ยนเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ด้วยการสังเกตการกระทำของตนเอง
ชี้ชวนให้คิดพิจารณาด้วยตนเองว่า การทำและไม่ทำอะไรส่งผลให้เกิดอะไรตามมา และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพื่อรู้ถึงเหตุและผลหรือหลักการอันจะนำไปสู่การตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณว่าควรทำอะไร
อย่างไรได้ด้วยตนเอง การที่ครูตั้งคำถามเพื่อถามหาเหตุ หาผลเช่นนี้ จะทำให้นักเรียนได้คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
มองเห็นเหตุเห็นผลตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาทั้งปัจจุบันและอนาคตในแง่มุมต่างๆ
ไม่ว่าต่อตนเองและบุคคลอื่น
การจัดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ดังที่กล่าวมา
ครูสามารถนำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ที่เคยมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กๆ
น้อยๆ มาใช้เป็นบทเรียนที่มีความหมายสำหรับการเสริมสร้างค่านิยมได้เป็นอย่างดี
อาทิ นักเรียนส่งเสียงดังขณะรับประทานอาหาร วิ่งเล่นและส่งเสียงดังในห้องเรียน เข้าแถวไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ยกโต๊ะเก้าอี้เสียงดังโครมคราม สะท้อนถึงการขาดระเบียบวินัย
หรือไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนให้เหมาะสมกับกาลเทศะได้ ซึ่งวิธีการที่ครูส่วนใหญ่ใช้จัดการกับพฤติกรรมของนักเรียน
มักจะใช้วิธีการกำกับ สั่งการ ดุด่าเฆี่ยนตี ซึ่งการกระทำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นการใช้อำนาจ
อันจะส่งผลให้นักเรียนซึมซับความรุนแรง รอคำสั่ง และปฏิบัติตามเพราะความเกรงกลัวมากกว่าการปฏิบัติอย่างมีสติรู้คิด
ดังนั้น ครูควรหยิบยกสถานการณ์ปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาพูดคุย
ให้นักเรียนทบทวนและสังเกต โดยครูตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เหตุการณ์หรือการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อใครอย่างไร และสุดท้ายเมื่อรู้เช่นนี้แล้วเราควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไรอย่างไร
ทำไมจึงทำเช่นนั้น ตัวอย่างคำถาม เช่น
ถ้าเราจะให้การรับประทานอาหารมีเสียงดังน้อยที่สุด เราจะทำอย่างไร จากนั้นให้นักเรียนเป็นผู้กำหนดแนวทางแก้ไขและสร้างข้อตกลงร่วมกัน
การฝึกให้นักเรียนทำด้วยความเข้าใจที่ถ่องแท้
เห็นผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของตน จะทำให้นักเรียนรู้สึกเห็นคุณค่าของการกระทำนั้นๆ
ซึ่งจะมีความหมายและดีกว่าการกระทำเพราะมีคำสั่ง หรือทำเพราะกลัวถูกลงโทษ หรือแม้แต่ทำเพราะต้องการสิ่งตอบแทน
การฝึกดังกล่าวเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการทางสังคม ส่งเสริมให้เด็กรู้จักการสร้างข้อตกลงกฎกติกาการอยู่ร่วมกันทีละเล็กละน้อยจากสถานการณ์จริง
ครูฝึกให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะประเมินทบทวนข้อตกลงและกติกา
ว่าสามารถปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ได้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้นักเรียนค่อยๆ ปรับตัว
เรียนรู้ที่จะปกครองตนเอง ปกครองดูแลกันเอง
สามารถสะท้อนคิดด้วยตนเองและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนในกลุ่มได้ เมื่อนักเรียนผ่านการฝึกฝนตามแนวทางที่กล่าวมา
จะทำให้นักเรียนปฏิบัติอย่างรู้คุณค่า ซึ่งการปลูกฝังคุณลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจะค่อยๆ
สั่งสมและก่อเกิดเป็นค่านิยมที่ดีงามติดตัวนักเรียนจนเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีในอนาคต
การฝึกนักเรียนให้มีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดดังกล่าวให้ได้นั้น
ครูจะต้องลดบทบาทของการกำกับให้นักเรียนต้องทำตามที่ครูบอก/สั่ง
ขณะเดียวกันครูจะต้องสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้และอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่นเป็นกัลยาณมิตร
โดยนำวิถีประชาธิปไตยที่สังคมพึงปรารถนา มาเสริมสร้างให้เด็กได้เรียนรู้และอยู่ร่วมกัน
ภายใต้วิถีประชาธิปไตยที่ถูกต้องตั้งแต่เล็กอย่างแยบยล ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน
ให้นักเรียนฝึกการคิด ฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง ให้ได้แสดงความคิดอย่างมีเหตุมีผล
ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม นอกจากนั้นควรฝึกให้นักเรียนได้สร้างกฎกติกาที่ควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติร่วมกันด้วยกระบวนการกลุ่ม
การที่นักเรียนได้เรียนรู้จากกฎกติกาที่สร้างขึ้นเองอย่างมีเหตุมีผล จะทำให้เขาจะยึดถือกฎกติกา
ครูควรชี้ชวนให้นักเรียนเห็นถึงผลดีผลเสียที่เกิดจากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
และให้ทบทวนตนเองในการปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างสม่ำเสมอ โดยครูจะไม่ใช้อำนาจ แต่จะใช้สถานการณ์ให้นักเรียนมองเห็นปัญหา
นอกจากนั้น การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน จะเป็นการฝึกนักเรียนให้รับฟังความคิดของคนอื่น
กล้าแสดงความคิดเห็นของตนเอง เรียนรู้ที่จะปรับความคิดและไม่ยืนกรานในความคิดของตนเอง
แต่พร้อมปรับเปลี่ยนอย่างมีเหตุมีผลโดยคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น
รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ตลอดจนคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
เมื่อนักเรียนอยู่ในบรรยากาศของการอำนวยการการเรียนรู้ของครู
ครูให้การชี้แนะเป็นที่ปรึกษา ไม่ปล่อยให้นักเรียนทำกิจกรรมตามลำพัง ซึ่งอาจเกิดความเสียหาย
นอกลู่นอกทาง และไม่เกิดผลตามที่คาดหวังได้ หากสังคมเล็กๆ
ในห้องเรียนและโรงเรียนที่ครูและศิษย์มีความรัก ความเอื้ออาทร แบ่งปัน ให้อภัย
รู้จักการเคารพซึ่งกันและกัน เคารพในกฎกติกา รู้จักใช้สติปัญญาหาเหตุผล
ในการไตร่ตรองสิ่งต่างๆ จัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ใช้อารมณ์ความรุนแรง
ย่อมจะทำให้เกิดความเอื้ออาทร รักสามัคคีสมานฉันท์ในหมู่คณะขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเช่นนี้
นักเรียนจะเข้าใจเรื่องสิทธิและเสรีภาพจากการปฏิบัติจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบของครู
รวมทั้งบุคลากรทั้งโรงเรียนต้องพูดเป็นภาษาเดียวกัน ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่สำคัญก็คือ
ครูต้องเชื่อว่านักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและเปลี่ยนแปลงได้
ฉลาดเลือกหยิบเอาสถานการณ์ที่นักเรียนประสบพบเจอมาให้นักเรียนเรียนรู้ ลดบทบาทจากครูผู้พร่ำบ่นสั่งสอนไปเป็นครูผู้อำนวยการการเรียนรู้
เรียนรู้ที่จะอดทนรอคอย เรียนรู้ที่จะฟังเสียงเด็ก ติดตามฝึกฝนต่อเนื่องจนนักเรียนมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น
รวมทั้งเป็นต้นแบบที่ดี สร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และร่วมมือกับผู้ปกครองในการหล่อหลอมนักเรียนสู่เป้าหมายเดียวกัน
จะเห็นได้ว่า การนำสถานการณ์เล็กๆ
ที่ดูไม่น่าสำคัญและมักมองข้าม มาเป็นประเด็นการเรียนรู้ ฝึกฝนการมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิด
ทำให้นักเรียนมีกระบวนการทางปัญญาที่เข้มแข็ง ถ้าหากปราศจากข้อ 9 มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ
รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้แล้ว
ก็มองไม่เห็นว่านักเรียนจะรู้ซึ้งถึงค่านิยมหลักที่เหลืออีก 11 ประการ ได้อย่างยั่งยืนถาวรอยู่ในความรู้สึกนึกคิดและสติปัญญาของนักเรียนได้อย่างไร
จึงกล่าวได้ว่า ค่านิยมข้อ 9 นี้เป็นเหตุสำคัญของการเกิดค่านิยมข้ออื่นๆ หรือ “แก่นแท้ค่านิยม” ที่ควรส่งเสริมให้นักเรียนทำเป็นกิจวัตร
จนเกิดเป็นวิถีชีวิต และวัฒนธรรมการเรียนรู้ต่อไป
---------------------------------------------
รายการอ้างอิง
ดวงเดือน
พันธุมนาวิน,
โกศล มีคุณ, และงามตา วนินทานนท์. (2556). ครูกับการเสริมสร้างจริยธรรมแก่นักเรียน:
คำถาและคำตอบ. กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.
รัฐบาลไทย. (2557). คสช. กำหนด 12 ค่านิยมหลักของคนไทย เพื่อสร้างสรรค์ประเทศไทยให้เข้มแข็ง. สืบค้น เมื่อ 14 ตุลาคม 2557, จาก
http://goo.gl/uLLL53
Royal Thai
Embassy, Singapore. (2552).
HIS MAJESTY KING BHUMIBOL ADULYADEJ'S NEW YEAR ADDRESS 2009. สืบค้น เมื่อ 14 ตุลาคม 2557, จาก http://goo.gl/qR3qWV
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
(2557). แนวปฏิบัติเกี่ยวกับค่านิยมหลัก 12
ประการสู่การปฏิบัติ. สืบค้น เมื่อ 14 ตุลาคม 2557,
จาก http://goo.gl/0kLMuh